วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Ironman Kona อีกหนึ่งบทพิสูจน์ ความเป็นไทยในเวทีโลก

Kona..my dream comes true! 

ทุกๆก้าว ทุกๆความฝัน ของทุกคนกว่าจะประสบความสำเร็จ เชื่อมั่นได้เลยว่า ในหลายๆคนหนทางมันไม่ได้ราบลื่น ง่ายดาย เหมือนที่ใจเราคิดแน่นอน เพราะถ้ามันง่ายๆ ได้ดั่งใจ มันคงไม่ใช่ความฝัน

หนทางสู่ ความฝัน Ironman Kona ของหนำ อาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆอยู่หน่อย เพราะหนำรู้ตัวเองอยู่ตลอดว่า หนำเล่นกีฬาเพื่ออะไร และเล่นกีฬาทำไม Kona จึงไม่เคยเป็นคำตอบของสิ่งที่หนำเลือกจะทำเลย

หนำเล่น Ironman เพราะหลงรักความรู้สึกท้าทาย
 ความรู้สึกที่เราต้องเอาชนะร่างกายตัวเอง
ความรู้สึกที่เราต้องก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกาย
ความรู้สึกที่เราต้องวางแผนการซ้อมและการ่แข่ง
และ ความรู้สึกปลาบปลื้มที่สามารถทำมันสำเร็จ ได้
สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่หนำหลงรัก ชนิดถอนตัวไม่ขี้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 10ปี 😂
หนำเห็น พี่ๆ คนอื่น เค้าอยากไปโคน่า ตั้งใจซ้อม ๆๆๆ แล้ว ก้อไม่ได้ เลิกไปก้อหลายคน มาๆไปๆ ก้ออีกหลายคน แต่ไม่ว่าใครจะเป็นยังงัย
 หนำทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
และหนำคิดว่ามันเพียงพอแล้ว
 โคน่าจึงไม่ใช่คำตอบของการเล่น Ironman ของหนำเลย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 10ปี ตั้งแต่ปี 2005 หนำพยายามที่จะลงแข่งให้ได้ทุกปี อย่างน้อยปีละหน
 และ
ถ้า จัดการวันลางานดีๆ รวมถึง จัดงบดีๆ จะได้ปีละ2หน
 ไกลหนึ่ง ใกล้หนึ่ง ประมาณนี้เรื่อยมา
 ใจคิดอยู่แค่ว่า เราไปแข่ง เหมือน คนอื่นเก็บเงินแล้วได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ปีละครั้ง
หนำเองก้ออยากลางาน หนีทุกสิ่ง ไปชาร์ตแบต ปีละครั้งก้อยังดี โดยเฉพาะงาน
ด้านบริการ ที่หนำทำอยู่ ทำติดต่อกันนานๆ ความรู้สึกกระตือรือล้นมันจะหายไป
แต่พอหายไปสัก 2อาทิตย์ นี่กลับมาทีไรไฟแรงทุกครั้งเลยเรา       
                                                        
เคยถามตัวเอง และเคยมีหลายคนถาม ว่า ไม่อยากไปโคน่าเหรอ?  
หนำบอกได้เลย ว่า อยากไป..
แต่เราเร็วไม่ได้หรอก เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น
ก้อเลยคิดว่ามันไม่มีทางอยู่แล้ว เราเองก้อคนทำงานทั่วๆไป แบ่งแยกเวลามาซ้อมได้ อาทิตย์ละ วัน สอง วัน ก้อดีใจมากแล้ว  แล้ว จะไปเร็วชนะฝรั่งเก่งๆได้ยังงัย

ในหัวมีแต่คำว่า ไม่มีทาง! หมดสิทธิ์  
   
หนำก้อเลยมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมีน่าจะดีที่สุด

จนกระทั่ง Ironman ประกาศเรื่อง  Legacy program คือผู้ที่จะ ผ่านการคัดเลือก ได้ต้องอย่างน้อยผ่านการแข่งขันมาแล้วอย่างน้อย 12สนาม และต้องจบทั้ง 12สนาม แล้วเค้าถึงจะเอาจำนวนผู้สมัครทั้งหมดมาคัดเลืกอีกที  
  
  หนำเลยต้องมานึกนับ จำนวนครั้งที่แข่ง นับไปนับมาตอนนั้นได้9 สนามแล้ว เหลืออีกแค่ 3 หนำเริ่มมีความหวังเรื่องโคน่าขี้นมาอีกครั้ง

ถึงแม้ช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงที่ชีวิตมีปัญหามีอุปสรรค จนถึงขั้นที่จะเลิกแข่ง หนำก้อผ่านมันมาได้ ถึงแม้จะขลุกขลักหกล้มลุกคลุกคลาน แต่หนำก้อยืนหยัดก้าวผ่านมาได้ในที่สุด

ประกาศผลคนที่qualified ช่วงประมาณสงกรานต์ของบ้านเราพอดี เมื่อเห็นว่ามีชื่อตัว วูบแรกคือดีใจมากๆถึงมากที่สุด มีการโทรเช็คกับเพื่อนๆคนอื่นที่เค้าซื้อล็อตเตอรี่ไป

แต่ปรากฏว่า เพื่อนที่ซื้อล็อตเตอรี่ไม่มีใครโชคดีถูกเลยสักคน!

หนทางสู่โคน่า ไม่ได้สวยงามอย่างใจคิดเลย เพราะการเดินทางนอกจากจะยากแล้ว ค่าใช้จ่ายยังค่อนข้างจะสูงมากๆอีกต่างหาก

หนำลังเลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงค่าใช้จ่าย

 มันเป็น ปัญหาใหญ่มาก ต่อ 1ทริปนี้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดต้องมีเงินอย่างน้อยสัก 3แสน แต่พอคนรอบตัวมองว่ามันเป็นโอกาสเดียวในชีวิต และ ไม่ใช่ทุกคนจะมาได้และทำได้ ให้หนำคว้าโอกาสนี้ไว้

หนำเลยเริ่มต้นหวนกลับมาหาวิธีที่จะได้ไป หางานทำเพิ่มและขอสปอนเซอร์ไปด้วย ช่วงแรกก้อรู้สึกมีความหวังดี

 แต่พอนานไป
การยื่นขอสปอนเซอร์สำหรับนักกีฬาสักคน ในบ้านเรามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะสปอนเซอร์ในเรื่องของเงินสนับสนุน!

แต่ในทางกลับกับ บริษัทใหญ่ๆสัญชาติไทยแท้ๆ คนไทยแท้ๆ กลับ สนับสนุนนักกีฬาต่างชาติ มีทีม ของตัวเอง แต่ลูกทีมไม่มีคนไทยเลยสักคน
หรื
 สนับสนุนอัดฉีดแต่กลับมองข้ามนักกีฬาชาติเดียวกันที่ มีศักยภาพไม่ด้อยกว่า แต่เค้าแค่ขาดโอกาสเท่านั้นเอง!

การยื่นขอสปอนเซอร์ในรูปแบบต่างๆดำเนินควบคู่ไปกับการซ้อมที่มีขีดจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะอาการบาดเจ็บที่ส้นเท้า ไหนจะงานที่ต้องทำเพิ่มเพื่อหาเงินไปแข่ง

ทุกอย่างเพื่อโคน่าคำเดียว

มีบางครั้งที่กลับมาคิดว่า หรือเราควร กลับไปมีความสุขแบบเดิมๆดี แต่เมื่อใดที่คิดแบบนี้จะมีคำตอบตามมาเสมอว่า

 มันคือโอกาสเดียวในชีวิตที่ถ้าไม่คว้าไว้ คงไม่มีโอกาสที่2

ทุกอย่างดำเนินไป เมื่อใกล้วันมากเข้า จากที่ต้องเดินทางคนเดียว เริ่มมีเพื่อนๆพี่ๆ เคลียร์งานได้พร้อมไปตั้งหลักเป็นกองเชียร์สนับสนุน ใจชื้นขึ้นมานิดนึง อย่างน้อยกำลังใจก้อดีขึ้น

มุ่งหน้าเดินหน้าทำสิ่งที่เราควรจะทำต่อ

จนในที่สุด พี่ที่หนำสอนอยู่ หนึ่งคนออกค่าแรงล่วงหน้าให้ ทำงานใช้หนี้ทีหลัง
อีกคนให้ pocket money ติดกระเป๋า
แต่สปอนเซอร์จากบริษัทใหญ่ๆน่ะหรือ อย่าได้หวัง!

ใกล้วันเดินทางมีเสียงเชียร์ให้กำลังใจมาเรื่อยๆ จากเพื่อนพี่น้องทั้งในทั้งนอกวงการ กำลังใจดีขึ้นไปอีก ^^

ในที่สุด ก้อได้เดินทางมาถึงโคน่า สวรรค์ของนักไตรทุกคน บรรยากาศที่เห็นตั้งแต่ออกจากสนามบิน มีนักแข่งหรือนักกีฬาไม่แน่ใจ ซ้อมทั้งจักรยาน ทั้งวิ่ง ทั้งว่ายน้ำ อยู่ตลอดเส้นทางจาก สนามบินมาที่พัก  ทุกคนดูแข็งแรงและตั้งใจมากๆ     

  เห็นแล้วให้รู้สึกอยากออกกำลังกายบ้าง เย็นนั้นเลยจัดวิ่งเบาๆให้ตัวเองไป 8โล โล่งอย่างบอกไม่ถูก ^_^

เช้าวันรุ่งขึ้น ซ้อมปั่นจักรยาน หนำมีข้อมูลอยู่แค่ว่า ที่นี่ลมแรงมากๆ เลยมาขี่ซะหน่อยตั้งใจซัก 80-90โล ปั่นออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปบนส้นทางที่ใช้ปั่นจริง
 เส้นทางกว้างใหญ่ประมาณเหมือนถนน 6เลนบ้านเราไป3กลับ3..
เส้นทางไม่ราบเรียบมีขึ้นลงลักษณะเป็น rolling อยู่ตลอดเส้นทาง
หนำตัดสินใจ วกรถกลับเมื่อขี่ไปได้ประมาณ 35โล คิดในใจ
โอเคน่ะ ระยะทางที่เหลือคงไม่ต่างกันมากลมแรงประมาณนี้พอรับไหวน่ะ ปั่นเต็มที่ สัก 6ชม. น่าจะอยู่
 วางแผนได้ดังนั้นก้อกลับ

วันรุ่งขึ้น แพลนคือว่ายน้ำและวิ่งเล็กน้อย ลองว่ายน้ำวันนี้
คลื่นค่อนข้างเยอะทำให้ว่ายยากนิดหน่อย แต่น้ำทะเลที่ใส สะอาด ชนิดที่บอกได้เลยว่า น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา ^^
 หนำว่ายอย่างมีความสุขมาก แต่ไม่ได้ซ้อมว่ายเยอะนัก ประมาณ 1โล ก้เลิก ขึ้นมาวิ่งต่อได้สัก 2โล

อีกหนึงวันถัดมา ก้อลงว่ายน้ำเช็คคลื่นอีกครั้ง คราวนี้ปรากฎว่าคลื่นเยอะกว่าเมื่อวานอีก เริ่มมีอาการกังวล
 ถ้าต้องว่ายคลื่นขนาดนี้เกือบ 4โล จะเป็นยังงัยเนี่ย ว่าแล้วเลยตัดสินใจ ซื้อชุดว่ายน้ำใหม่ 1ชุด เผื่อจะช่วยได้
ภาวนาให้เทคโนโลยีชุดว่ายน้ำดีมากพอ แต่เอาเข้าจริงทุกอย่างเริ่มที่ตัวเราเสมอ ^ ^
 แต่วินาทีนั้นไม่ว่าผ่านศึกมาขนาดไหน มาเจองานระดับโลกขนาดนี้มันต้องมีอาการกันบ้างล่ะน่า 555

ว่าไปว่ามาเวลาเร็วเหมือนติดปีก
 คืนก่อนแข่งมีอาการอีกนิดหน่อย เป็นธรรมดาของคนตื่นเต้น เลยหลับไม่ค่อยดี  หลับๆตื่นๆ ทั้งคืน 

แต่เมื่อมาถึงวันแข่งแล้ว ในหัวมีแต่คำว่าลุยอย่างเดียว เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ แฟนเพจ ให้กำลังใจในวันก่อนแข่ง มาอย่างเพียบ กำลังใจดีมากเลยเรา

 รู้ได้เลยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องพาตัวเองไปให้จบการแข่งขันให้ได้ 

เพราะวันนี้เราไม่ได้มาคนเดียว
 เรามีเพื่อนๆพี่ๆ ที่ตั้งใจลางานมาเชียร์เราถึงนี่ 
เรามีเพื่อนๆ ที่คอยเชียร์จากทางเมืองไทย
เรามีภาระที่ต้องทำในฐานะ ผญ. ไทยและคนไทยคนนึง
 
วางแผนการแข่งวันนี้คร่าวๆในหัว ตั้งใจทุ่มทุกอย่าง กับการแข่งขัน
ในหัว ตั้งใจจะสร้าง personal best record ตอนวิ่ง
เพราะวิ่งเป็นอะไรที่หนำถนัดที่สุด ใจก้อภาวนา ขอให้ส้นเท้าเป็นใจ อย่าเจ็บเยอะ ให้เจ็บแต่พองาม อดทนที่จะไม่วิ่งเลยมาเป็นเดือนๆ เพื่อวันนี้ วันที่ถ้ามันจะเจ็บก้อให้มันเจ็บไปแบบสุดๆ แบบไม่มีอะไรจะเสีย เผื่อหลังจากนี้อาจได้พักจริงๆจังแบบคนอื่นซะที ^ ^
ช่วงว่ายน้ำภาวนาขออย่าให้ panic ก้อพอ
ส่วนจักรยาน ภาวนาอย่าให้ยางแตก ด้วยเถิด ถึงแม้จะมีอุปกรณ์มา แต่เปลี่ยนยางไม่เป็นนี่แอบเครียด แต่คิดในใจ ถ้าต้องเปลี่ยน จริง ขอให้นึกวิธีเปลี่ยนให้ออกด้วยเถิด

วางแผนพูดคุยกับตัวเองคร่าวๆ มีเวลามีสมาธิ

เดินทางไปถึงสำรวจจักรยาน เติมข้าวของใน ถุง bike gear อีกนิดหน่อย แต่ เส้นทางที่ต้องเดินนี่ช่างไม่ได้ใกล้เลย
 ที่เขียนเบอร์ไกลมาก แต่ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบ สมเป็นงานระดับโลกมากๆ Volunteers ทุกคนดูชำนาญและตั้งใจ พูดคุยเป็นกันเอง น่าประทับใจมากๆ

เตรียมทุกอย่างพร้อมก่อนเวลาปล่อยตัวของตัวเองประมาณ 15นาที
ตัดสินใจจะมีสมาธิกับตัวเองมากกว่าจะไปดู โปรระดับโลกเค้าปล่อยตัวว่ายน้ำกัน เพราะยิ่งเห็นยิ่งตื่นเต้น ขอเวลาทำใจดีกว่า เชื่อมั่นว่ายังงัยโปร ก้อทำได้ดีกว่าเราแน่ๆ ^ ^

เดินเข้าไปรวมตัวใกล้ๆกับที่ทุกคนยืนเข้าแถวรอปล่อยตัว แต่หนำกลับนั่ง หันหลังให้ผู้คน อาการpanic กำลังมา ต้องทำใจให้ได้กับการแข่งคราวนี้ เลยตัดสินใจนั่งนิ่งๆ ไม่พยายามเห็นผู้คนที่จะลงแข่ง 
สักพักใหญ่ๆก้อรู้สึกได้ถึง สมาธิและความนิ่ง ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แล้วจึงเดินไปรวมกับกลุ่ม 
เวฟสุดท้าย 
ที่จะปล่อยตัวพร้อมกัน 
สนามนี้เป็น การปล่อยตัวในน้ำ ซึ่งจุดปล่อยต้องว่ายออกไปประมาณ 100เมตรได้ 
ทุกคนทยอยกันลงน้ำ หนำกะเวลาเล็กน้อย                          เพราะไม่อยากไปลอยตัวในน้ำนาน เห็นเหลือประมาณ ไม่ถึง5 นาที เลยตัดสินใจลงน้ำ 
เมื่อตัวสัมผัสน้ำ อาการpanic เหมือนพร้อมจะมาตลอด

 หนำว่ายช้ามากๆช่วงออก เพราะกะว่าค่อยๆว่ายไปถึงจุดออกให้ได้ยินสัญญานปล่อยตัวน่าจะกำลังดี
 ปรากฏว่าว่ายไปถึงก่อน แย่แล้ว ลอยตัว! เหนื่อยแน่ๆ มองไปทางขวา เห็นเรือ เลยตัดสินใจว่ายไปเกาะเรือ ซึ่งก้อมีนักกีฬาบางส่วนเกาะอยู่ก่อนแล้ว รออีกสักไม่ถึงนาทีสัญญานปล่อยตัวดัง
เอาแล้ว หนำ ตั้งสติ มีสมาธิ และที่สำคัญ ไม่ต้องกลัว!

  ว่ายออกไปอีกครั้ง พยามไม่มองคนที่ว่ายคนที่ยืนเชียร์ ในหัวมีแต่คำว่า มองน้ำ คิดว่าซ้อมว่าย ดูปลา แต่ไม่รู้วันนี้ปลาดันหายไปไหนหมด ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าหยุด พยามท่องแบบนี้อยู่ในหัวตลอด
 จนกระทั่งรู้ตัวแล้วว่าผ่านจุดpanic แล้ว
 แรงเริ่มกลับมา อาการหายใจดีขึ้น จังหวะเริ่มกลับมาแล้ว
 เอาล่ะหนำ ถึงเวลาว่ายแล้ว... 
พอเริ่มได้จังหวะ กลับปรากฏว่า ว่ายไม่ได้เร็วเท่าทีอยากว่าย เนื่องจากคนเยอะมาก และเป็นการว่ายตามๆกันซะส่วนใหญ่ เอางัยดี เรา..
เลยตัดสินใจว่ายตามๆกันไป 
คิดในใจระดับโลก qualified มาทั้งนั้นคง ไม่ช้าหรอกน่า 
ยังงัยคงว่ายเร็วกว่าเรา  ตามๆเค้าไปละกัน
 ตลอดทางจึงเป็นการว่ายแบบ ตามๆกันไป อาจจะมีช่วงทนไม่ไหวบ้าง เร่งแซงไปได้ 2-3ครั้ง ไปหาแถวที่อยู่ข้างหน้า ใจก้อนึกว่าคงไม่ช้า!
 จบการว่ายเช็คดูนาฬิกา 1:34hrs
 อ้าวอะไรเนี่ย ว่ายช้ากว่าที่คิดไว้นะเนี่ย นึกว่าสัก 1:24
 สรุปว่า มัวแต่ตามพวกช้ากว่าหรือเนี่ย!! 
จักรยานคงต้องเร่งหน่อย ถ้าอยากทำเวลาดีๆวันนี้
 เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า จะต้องได้สัก 12ชม.กว่าๆ เลยต้องรีบ!  
  
เข้ามาที่เต๊นท์
เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกอย่างเป็นชุดปั่นจักรยาน วิ่งพร้อมจักรยานออกจากทรานซิชั่น
เส้นทางส่วนนึง มีอยู่แล้วในหัวจากการไปซ้อมปั่
 ซึ่งวางแพลนไว้หมดแล้ว ช่วง 30โล ตรงนั้นคงไม่ยาก
 ปั่นเลยไปอีก 60โลแล้วกลับตัว
เดาๆเอาว่าคงไม่ต่างกันมาก
ออกตัวปั่นไปเรื่อยๆ พยามยังไม่ใส่แรงมากนัก
เพราะเพิ่งขึ้นจากน้ำ อยากให้ขาปรับสภาพนิดนึง
 เมื่อพร้อมจะเร่งได้เอง วอร์มๆออกไปได้สักเกือบ 20โล เริ่มรู้สึกดีขึ้น
 ถึงเวลาเร่งของเราแล้ว...
ปรับเกียร์ปรับขี้นจานใหญ่ ลุยอย่างเดียว ทำเวลาได้ดีขี้น ความเร็วดีขี้น หลังจากเลย 50โล
เลยจุดที่ขี่สำรวจมาได้พักใหญ่ เริ่มรู้แล้วว่าทำไมทุกคนถึงพูดว่าสนามนี้ลมแรงมาก มันเป็นลมที่แรงจริงๆ
นอกจากต้องขี่ต้านลมแล้วยังต้องระวังลมด้านข้างด้วยพัดที ปลิวที ช่างน่ากลัวจริงๆ พยามจับแฮนด์ให้กระชับขึ้นและเริ่มมีสติตั้งหลักตลอดเวลา เพราะถ้าเผลอมีคว่ำแน่ๆ 
ตั้งแต่กิโลที่ 50ยาวไปถึง 100 เป็นอะไรที่ทรมานสุดๆ 
ไหนจะลม ไหนจะเขา 
บางทีมาพร้อมกัน ขี่แล้วเหมือนจะอยู่กับที่ซะอย่างนั้น
 ลมแรงชนิดที่เรียกว่าพัดหนำจาก ขวาสุด มาอยู่กลางติดกับเลนสวนได้ 
ใจก้อหาวิธีตลอด 
ต้องขี่ยังงัยไม่ไห้ล้ม ไม่ไห้ช้า 
มี2-3ครั้งที่รู้สึกกลัวมากอยากหยุด ลงไปนั่งทำใจ
 อีกใจก้อเตือนตัวเองตลอด ไม่เป็นไรหนำ เราทำได้ เราทำได้ ต้องทำได้สิ! 
ประมาณว่าขี่จนรู้ทีศทาง หาท่าขี่ที่ไม่ทรมานมาก พุ่งหัวรถจักรยาาเจ้าหาลมเลย
เริ่มดีขึ้นแฮะ
แต่ก้อยังสู้ช่วงที่ลมแรงมากๆไม่ไหว แต่พยามไม่ให้มันสะบัดจนเราปลิว 

ถือว่าเป็นประสบการณ์แรกของสนามระดับโลกจริงๆ นี่แหละคือ ลม ที่ทุกคนหมายถึง...

กลับตัวนี่ตรงข้ามเลยจริงๆ ลมส่งเราตลอด แต่ถึงแม้จะมีความเร็วก้อไม่ได้หมายความว่าเราจะลอดพ้นจากลมด้านข้าง ยิ่งมาเร็ว เจอลมข้างถ้าเอาไม่อยู่ จะยิ่งเจ็บหนัก

เริ่มเห็น จักรยาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ผญ. ล้มกันบ้าง เป็นระยะๆ น่ากลัวจริงๆ ใจก้อภาวนา
อย่าล้มนะหนำ ทำได้ๆ การต้องมีสติและสมาธิที่สูงเลยทำให้หมดพลังมากๆ
โดยเฉพาะในช่วง 30โลสุดท้าย แถมยังต้องขี่ต้านลมกลับอีก ช่างน่าทรมาน
พยามกินทุกอย่างที่พกไปเพื่อให้มีพลังขี่
ก้อดีขึ้นเป็นระยะๆ ผ่าน 160โล สวน จักยานหนึ่งคัน จอดเปลี่ยนยางอยู่
มองดีๆ อ้าวพี่ไก่นี่นา
ตะโกนถามนิดนึง เป็นรัยรึป่าวพี่?
พี่ไก่บอกยางแตก...แล้วโอเคนะพี
พี่ไก่บอกโอเค ใจเราหายกังวล
ตะโกนกลับไปสุดท้าย สู้ๆนะพี่ไม่เป็นไร ค่อยๆไป

ว่าแล้วหนำก้อปั่นต่อ เริ่มเห็นมีคนวิ่งกันแล้ว
ดูวิ่งเร็วกันมาก สมแล้วที่เป็นage gruop winner ชื่นชมได้สักพัก
เช็คนาฬิกา
เราขี่ช้ามากๆๆๆวันนี้ เวลาจักรยานช้ากว่าที่ตั้งใจเกือบชั่วโมง คำนวนเวลา
ถ้าแบบนี้ ขอเข้าก่อน 13ชม ละกัน
พอมีลุ้น
แต่ต้องวิ่งสุดๆเลยนะเนี่ย ห้ามวิ่งเกิน 4:15ชม. กับ 42โล
โห!! จะทำได้มั้ยเนี่ย!
 เอาน่า อยากทำ
personal best ตอนวิ่งอยู่แล้วนี่นา ลองดูละกัน ส้นเท้าอยู่ด้วยกันนะ อย่าเจ็บมากนะ
sub13 hr แลกกับ ไอติม เอาน่า คิดถึงไอติม ไว้ก่อนตอนนี้ แล้วเดี๋ยวดีขึ้นเอง เอาอารมณ์หวานๆเย็นๆมาสู้ กับความร้อน

ลงจากจักรยาน เปลี่ยนชุดอีกครั้ง ความรู้สึกอัดอั้นที่อยากวิ่งมานานแต่วิ่งไม่ได้ เพราะกลัวส้นเท้าจะเจ็บก่อนถึงเวลาต้องใช้
มาถึงวินาทีนี้กลัวนะ แต่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แลกเลย เจ็บเป็นเจ็บ ทนๆบดๆมันไปละกัน กัดฟัน เหลืออีกแค่ 42โล ไม่สิ วันนี้คิดเป็นไมล์เลย น้อยดี 26โมล์ คิดให้เหมือน 26โล ละกัน น้อยดี ^ ^

ออกตัววิ่ง ยังไม่เร่งนัก รอหัวใจพร้อมกล้ามเนื้อพร้อม เส้นทางวิ่ง ศึกษามาแล้ว วิ่งผ่านบ้าน เจอพวกพี่มิคกี้ กับ กองเชียร์ แค่ไปให้ถึง
งั้นเราแค่วิ่งจนกว่าจะเจอบ้านแล้วกัน
เจอเพื่อนซะที
คิดได้อย่างนั้นขาเร็วขึ้นมีโฟกัสมากขี้น
จังหวะเร่งเริ่มมา เหลือบดูเพสวิ่ง 5กว่าๆ น่าจะดี
ไม่แย่ คำนวนต่อในหัว งั้นถ้าเราจะวิ่งให้จบภายใน 4:15 ห้ามเกิน 4:20

เราต้องวิ่ง 10โล ใน 1ชม.
เอาน่าลองดู

แต่เส้นทาง แบบสนามระดับโลก ใครคิดว่าเส้นทางวิ่งจะเรียบง่าย ไม่ใช่เลย มัน ขึ้นๆลงๆ ตลอด 42โล ให้สมกับเป็นสนาม WorldChampion!
ดีที่หนำเป็นพวกชอบทางแบบนี้
 แต่ถ้าจะทำเวลา ในสภาพขาหลังปั่น 180โล
นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

 แต่ยังงัยวันนี้ สู้ตาย อย่างเดียว

ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆพยามคุมความเร็วไม่ให้ช้า เกิน พาขาตัวเองไปเรื่อยๆ 
ใกล้ถึงบ้านแล้ว 
มองเห็นพี่มิคกี้กับเพื่อนๆแต่ไกล ดีใจมาก
 วิ่งผ่านกรี้ดกร้าด กันพอเป็นพิธี 
ก้อหันมาโฟกัสกับการวิ่งต่อ เลยไปอีกนิด 
เตรียมกลับตัว 
พี่ไก่เป็นยังงัยบ้าง
 กลับตัวย้อนไปคงได้เจอกัน ระดับพี่ไก่ไหวแน่ๆ ไม่ต้องกังวล
ย้อนกลับมาผ่านหน้าเพื่อนๆอีกครั้ง หันไปบอก เรื่องพี่ไก่ยางแตก ทุกคนจะได้ไม่กังวลว่าหายไปไหน

ตามด้วย
เจอกันอีกทีที่เส้นชัยนะ จบแน่ๆ

เอาละ เหลืออีกแค่อยู่บนไฮเวย์ 
เส้นทางเดียวกับจักรยานเลย 

คิดง่ายๆเหมือนเดิม วิ่งไปให้ถึงสนามบิน วนนิดหน่อย ก้อได้กลับแล้ว... 

ตลอดเส้นทางประมาณ 16โลแรก 
ทุกอย่างยังผ่านไปได้ด้วยดี
 และเป็นไปตามที่แพลนทุกอย่าง 
ความเร็วยังคุมได้ดี ผ่าน 10โลแรก 58นาที 
10โลที่ 2 รวมกัน 2ชม. พอดี 
เราเริ่มวิ่งช้าลงละ 
ไม่ได้นะ เดี๋ยวไม่ทันอดกินไอติม ทำเวลาหน่อย!

  ผลักดันตัวเองตลอดกับการวิ่ง พยามไม่ให้ ความเร็วหลุดไปเยอะ จนกระทั่ง 
ได้สัก 22โล อาการเริ่มมา 
เริ่มมอาการ มึนๆ หมดแรง 
ทำให้ต้องมองหาของกินเพิ่มอย่างอื่น 

คว้าได้อะไรก้อกินเข้าไปเพื่อให้มีแรงวิ่ง
 ทั้งน้ำ ทั้งน้ำแข็ง สาดตัวตลอด เพื่อดับความร้อนและลด Heart rate 

ในที่สุดก้อวิ่งมาถึงสนามบิน วนเข้าไปในเส้นทาง ที่เค้าเรียกว่า energy loop

 โห.. แล้ว energy เราหายไปไหนเนี่ย เข้าไปในนั้นเริ่มรู้สึกถึงพลังที่น้อยลง อาการเมื่อยและปวดหน้าขา ข้อเท้า และ ส้นเท้า เริ่มชัดเจนขึ้น

 ไปต่อ ผ่อนไม่ได้ ใกล้ 30โลแล้ว เช็คเวลา อีกครั้ง หลังผ่าน 30โล
แย่แล้วเกินมา 3นาที ผ่าน 30โลที่ 3ชม. 3นาที

คำนวนอีกครั้ง 12โลที่หลือ กับ 1:10นาที จะทันมั้ย 

เริ่มรู้ตัวว่าอาจไม่ทัน แต่ยังไม่เลิกความพยายาม

 ไอติม เป็นของรางวัล ที่มีค่ามากเลยตอนนั้น 

ไหนจะกองเชียร์ ที่เชียร์กันสดๆอยู่อีก

 ลองดูยังมีโอกาส ว่าแลัว ระยะ ตั้งแต่ 30โล หนำใส่หมด ดึงความเร็วขึ้นมาให้ได้ 

ใช้ได้ ความเร็วกลับมาละ ใส่ต่อแบบไม่ยั้ง ยาวไปๆ 

แต่มันไม่เป็นอย่างใจคิด ปรากฏว่าโลที่ 37 กว่าๆ อยู่ดีๆ ร่างกายก้อมีอาการที่เรียกว่า  ช็อต 

มัน ช็อตเอาดื้อๆ หมดแรง หมดพลัง ไม่มีแรงแม้แต่จะเดิน 

อาการนี้มาเมื่อไหร่ คนทั่วไปคงงง..

แต่หนำประสบการณ์สูง รู้เลยว่าควรทำยังงัย ว่าแล้วก้อหันไปหยิบ ของกินที่มีอยู่ทุกชนิด กินเข้าไปรอให้ บูส เครื่องได้ใหม่แล้วค่อยๆเร่งอีกครั้ง 

ช่วงนี้นความเร็วหล่นลงมาเหลือ 8กว่าๆ 

เริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่น่าจะทัน ใจเริ่มท้อ 
อีกใจก้อเอาน่า ไม่ลองไม่รู้ พยายามไม่เดิน

โลที่สัก 38กว่าๆ ละ แรงเริ่มกลับมา 

หนำเรื่มดึงจังหวะกลับมาได้ใหม่ ประกอบกลับใกล้ถึงเต็มที่ 
เร่งเข้าไป ใส่ให้หมด!!! 

คิดได้ดังนั้น เริ่มดึงความเร็วกลับมาใหม่ 

ขึ้นเขาสุดท้าย ไม่ต้องกลัวแล้ว ใส่ๆแล้วก้อใส่ให้หมด... 

นัดเพื่อนไว้พร้อมก่อนแล้วว่าจะเจอตรงไหนพร้อมรับป้ายไฟและธงชาติ 

เหลือบดูนาฬิกาเป็นครั้งสุดท้าย 2โลสุดท้าย 

เหลือ 5นาทีจะ13ชม. ไม่ทันแน่ๆละ 
ไอติม คงต้องอด แต่ไม่เป็นไร วิ่งเต็มที่แล้ว 

ใส่พลังทั้งหมดเพื่อวิ่งให้ดีที่สุดและก้อคิดว่าทำดีที้สุดแล้ว วินาทีนี้ 

ทุกคนรอให้เราเข้าเส้นเท่านั้น 
ทำเพื่อให้ธงไทย ได้พัดโบกในเวทีโลก  
ทำในฐานะคนไทย คนนึงที่ทำทุกอย่างให้เต็มที่ สมหน้าที่ตัวเอง 
และ 
ทำเพื่อกองเชียร์ทุกคนที่ฝากพลังใจมาให้

เจอพี่มิคกี้ก่อนเมื่อเข้าโลสุดท้าย พี้มิคกี้วิ่งตามให้กำลังใจแสดงความยินดีกับหนำพักนึง

หนำพยามไม่ลดความเร็วแล้วมีแต่เพิ่มให้ถึงเป้าหมาย

เจอน้องแป้งกีวี่และพี่เล้ง
อยู่ที่จุดนัด

น้องแป้งส่งธงชาติ
กีวี่ส่งป้ายไฟ..
ได้รับของครบ

สุดท้ายหนำทะยานไปด้วยพลังของความปลาบปลื้ม

เสียงเชียร์ ไทยแลนด์ ไทยแลนด์
ดังกระหึ่ม ตลอดทาง เพราะเราไปพร้อมสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย

 และในที่สุด ช่วงเวลาที่น่ายินดีที่สุด

เมื่อ เสียง พิธีกรในงานประกาศชื่อ หนำ

และตามด้วย คำว่า Bangkok Thailand ..

ช่างเป็นวินาทีที่

หนำมีความสุขมาก มากจนลืมความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ผ่านมาทั้งหมด

มันคือ ความปลาบปลื้ม ยินดี
ที่ไม่ว่าจะเขียนยังงัย ก้อคงหาคำพูดมาอธิบายได้ไม่เหมือน



ภารกิจ ในฐานะนักไตร ที่ทำตามฝัน 

ภารกิจในฐานะคนไทย ที่ทำเพื่อชาติ


ภารกิจในฐานะน้องคนนึงของพี่ๆ และพี่ของน้องๆ

ภารกิจในฐานะลูกสาวของพ่อกับแม่ ที่ท่านสอนไว้ตลอดว่า ถ้าจะทำอะไรให้ทำเต็มที่และให้ทำด้วยตัวเอง

ภาระหน้าที่ทั้งหลายเหล่านั้น 
มาถึงวันนี้ 
หนำ เดินทางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว 
เส้นทางยาวนานตลอดเกือบสิบปี 

ที่ในที่สุดหนำก้อมาถึง 
และ ทำสำเร็จแล้ว
ดีใจและภูมิใจที่สุด...

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

Doi Suthep ITT 2014: หนาวกาย แต่ อุ่นใจ


นานๆจะได้มีโอกาสเข้าร่วมงานปั่นจักรยานกับเค้าสักที
ต้องเรียกว่าโชคดีที่ หนำได้มีโอกาส มาเข้าร่วมงาน่ปั่นนี้ประมาณว่า ถ้าพลาดคงแอบเสียดาย

พูดถึงเรื่องการจัดงาน โดยรวม ประกาศก่อนล่วงหน้าประมาณ เกือบสองเดือน รับสมัครผ่านทางหน้าเวป และ ประกาศผ่านสื่อ facebook ซึ่งการประชาสัมพันธ์อาจจะดูเงียบๆไม่หวือหวามากนัก เลยอาจจะทำให้ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คนพื้นที่ ไม่ค่อยทราบข่าวเท่าที่ควร

ใครจะแข่งต้องรีบหน่อยี่ค่ะพราะไม่มีรับสมัครหน้างานประมาณว่าต้องมีการวางแผนเดินทางกันล่วงหน้า ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่หรือจังหวัดใกล้เคียง วันสุดท้ายสำหรับใครที่ไม่อยากสมัครออนไลน์ คือ วันเสาร์ พร้อมกับใครที่สมัครล่วงหน้า ให้มารับเบอร์พร้อมทราบเวลาในการออกตัว

  เมื่อถึงวันเสาร์ รับลงทะเบียนคนสมัครใหม่และรับเบอร์สำหรับคนที่สมัครมาอยู่แล้ว ตลอดทางมีฝนโปรยปรายตลอดทั้งวันเลยอาจจะทำให้ การเดินทางมาขลุกขลักเล็กน้อย บรรยากาศ หน้างาน ดูเรียบง่ายเป็นกันเอง นักแข่งและผู้จัดพูดคุยเป็นกันเอง ดูน่ารักไปอีกแบบ

เช้าวันแข่งเจอกัน ตามเวลาของตัวเอง ใครปล่อยก่อนมาก่อนใครปล่อยหลังจะวอร์มก่อนหรือตื่นสายอีกหน่อยได้ตามถนัด      

หนำได้ปล่อยตัวอยู่ประมาณ 7:13am. แต่ด้วยความที่เป็นคนตื่นเช้าเก่งมากเลยทำให้ไปสายตามระเบียบ สายไป 2นาที เลยได้ เบอร์ใหม่เวลาใหม่ ประมาณว่าเปลี่ยนเสียบกันสดๆเลย วอร์มก้อไม่ต้องละลุยเลย ไม่มีเวลาแล้ว...

เมื่อมีสัญญานปล่อยตัว หนำก้อปั่น ช่วงแรกของการขึ้นจะชันกว่าช่วงกลางเล็กน้อย คนกรุงเทพอย่างเรา เรื่องขึ้นเขาน่ะหรือ หายห่วง...  ประมาณว่าถ้าไม่ขึ้นมาซ้อมเอาแรงไว้ก่อน วันนี้แอบมีงง หนืดจริง ว่าแล้วให้อยากเป็นชาวดอยกันซะเดี๋ยวนั้นเลย^_^

เนื่องจากทริปนี้เป็นทริปปั่น หนำลุยแหลกมาตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์ กว่าจะถึงวันแข่ง ขาแอบออกอาการล้าเล็กน้อย ตั้งแต่เริ่มขึ้น คิดในใจ ว่าวันนี้มีมันส์แน่ๆเลยเรา แล้วก้อจริงดังคาด อาการล้าทำให้หน้าขาไม่มีแรงกดมากพอ เลยต้องอยู่เกียร์เบาสุดเป็นส่วนใหญ่ ทั้งบีบทั้งเค้น ทั้งปลอบ ทั้งผลักดัน ตัวเองสารพัด ให้ไปต่อให้ถึงเส้นชัย กว่าจะผ่านไปแต่ละโล ช่างทรมานบันเทิงจริงๆ แต่โชคดีแค่ 14.88โล ท่องไว้ตลอด เลยเอาตัวเองขึ้นมาถึงเส้นชัยได้ในที่สุด เย้!!@#$@

ว่าไปนู้น มาดูเรื่องของงานกันต่อ... ตลอดเส้นทาง มีรถขี้นลงไม่เยอะ อาจจะเพราะยังเช้าอยู่ รถส่วนใหญ่ที่ขึ้นลงก้อเป็นรถสองแถว วิ่งขึ้นๆลงๆดอยประจำอยู่แล้ว เลยดูจะเป็นมิตรกับจักรยานเป็นพิเศษ

น่าจะชินกับการมีจักรยานขึ้นๆลงๆดอยกันตลอดเวลา มีคนเชียงใหม่แอบกระซิบว่า นักปั่นเชียงใหม่ปั่นขึ้นลงดอยสุเทพเหมือน คนกรุงเทพไปซ้อมวิ่งสวนลุม..ซี่งจากการสังเกตุแล้วถ้าจะจริง มีจักรยานมาปั่นขึ้นลงดอยกันตลอดทั้งวัน นักปั่นจะทักทายและให้กำลังใจกันเอง ถึงแม้จะอยู่คนละฟากถนน ก้อยังทักทายให้กำลังใจกันตลอด แบบไม่ต้องกลัว เมื่อยคอ เพราะได้พยักหน้าตลอดทาง ^_^

ขึ้นมาถึงเส้นชัย หลังจากหยุดสงบนิ่งให้ร่างกายหายเหนื่อยแล้ว ถึงได้มีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว ^_^ บรรยากาศข้างบนอากาศเย็นสบายไม่น่าเชื่อ ลมเย็นๆ สมเป็นเมืองหนาวจริงๆ ประมาณว่าถ้าไม่ขึ้นมาถึงคงไม่ได้สัมผัสไอเย็นแบบนี้แน่ๆ เจ้าหน้าที่ด้านบนนี้หลายคนแอบใส่แจ็คเก็ตเลยด้วย มองเป็นเห็นโต๊ะน้ำดื่ม มีน้ำครบยิ่งกว่างานใหญ่ๆหลายงานซะอีก
มีกาแฟหอบหิ้วมาต้ม ดริ๊ป กันร้อนๆถึงข้างบน

ดอยดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบ ทั้งหม้อต้มแบบสมัยก่อน กาน้ำร้อน ที่ดูหาไม่ได้แล้วในสมัยนี้ มาต้มมาชงให้คนข้างบนอิ่มอุ่นกันสุดๆระหว่างรอนักปั่นที่ย้งขึ้นมากันไม่ถึง

นอกจากกาแฟแบบ แฮนด์เมด แล้ว ยังมี เครื่องดื่มอีกเพียบเอาในนักกีฬาสุดๆ ทั้งน้ำอัดลม ทั้งน้ำดื่มบำรุงกำลัง ทั้งเกลือแร่ ทั้งน้ำผลไม้สด เรียกได้ว่า มีหมดทุกยี่ห้อที่เราเห็นขายอยู่ตามร้านสะดวกซื้อทั้วไป อาหารสำหรับนักกีฬา ถึงแม้จะไม่ใช่ข้าว เพราะเอาเข้าจริง ก้อกินไม่ลงอยู่ดี แต่ที่นี่ เตรียมเหมือนเป็นอาหารทานเล่น ทานเพลิน ทานได้ตลอด ให้กับนักกีฬา ดีไปอีกแบบ ไม่คาวเกินแต่ทานได้เรื่อยๆ ถูกใจหนำมากๆ

มาถึงช่วงแจกรางวัล อันนี้แบบ limited สุดๆ ใช้ กรวยแทน เครื่องเสียง เพราะจุดเส้นชัยไม่มีไฟฟ้า จัดกัน แบบ exclusive เลย แต่แปลกตรงที่ มันดูมีเอกลักษณ์ และ ดูน่ารักไปอีกแบบ รางวัลที่แจก ไม่เน้นให้แต่นักกีฬ่าที่เก่ง
ให้รางวัลกับทุกคน ประมาณว่า ของแจกเยอะกว่าคนแข่งอีก บางคนได้กลับบ้าน 3-4ชิ้น คุ้มเกินค่าสมัครแค่ 250บาทอีก
ของแจกก้อไม่ธรรมดา มีทั้งเสื้อยืดที่ระลึก, กระเป๋าคาดเอา, power bank, กระติกน้ำจักรยาน, พระจากวัดในเชียงใหม่, นาฬิกา, หมวกจักรยาน, gift voucher ร้านกาแฟ, etc...

ตลอดการประกาศรางวัล เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ชื่นชม กับ ผู้ชนะ และ ยินดี กับ ทุกคนที่ได้ปั่น มีเวลาเป็นของตัวเอง ไว้เป็น record สำหรับ ตัวเอง ในปีต่อๆไป
ในส่วนของหนำเอง คิดว่าเต็มที่กับการแข่งแล้วในสภาพเท่าที่ร่างกายจะเอื้อไปได้ ถ้าถามปีหน้าจะมาอีกมั้ย คำตอบคือ มาแน่ๆ เพราะสิ่งที่ได้กลับไปมันมากกว่าแค่เข้าแถวรอรับถ้วยแล้วจบกัน หรือ มันได้มากกว่าการแค่โพสต์ท่าถ่ายรูปแล้วออกสื่อให้เพื่อนๆดู ให้เพื่อนๆชื่นชม ว่าโอ้โห เก่งจังเลยแล้วก้อผ่านไป ^_^

แต่งานนี้มันมีความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง
เรียบง่ายแต่ทั่วถึง อยากให้ใครก้อตามที่คิดอยากสัมผัสงานแบบนี้ ได้ลองดูบ้างแล้ว รับรอง จะหลงรักเชียงใหม่ ^_^
ปีหน้าเจอกันค่าา Doi​Suthep ITT 2015 

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Road To Kona... My 1st Ironman (3/3จบ)


Road To Kona... My 1st Ironman (3/3จบ)
เส้นทางสู่ Ironman Kona, Hawaii.. 
กับประสบการณ์การแข่งIronman ครั้งแรก!! 🎊

"ครั้งหนึ่งในชีวิต เราก้อทำได้ ทรมานมากๆๆๆๆ ไม่เอาอีกละ ขอพักก่อน คงมีแค่ครั้งเดียว คงไม่เอาอีกแล้ววว..."

พาตัวเองออกไปวิ่ง ของถนัด😇😎
พอเริ่มวิ่ง โอ้โห ใจเย็นๆ!!! 
ขาเราหรือเนี่ย ความเร็วไปไหน? 
นี่เรากำลังวิ่งหรือเดินเนี่ย?
รู้แต่ว่ามัน ปวดเหมือนกับวิ่งไปแล้วซัก 35โล แต่นี่ชั้นต้องวิ่งอีก 42โลรึเนี่ย!!! สมองเริ่มคำนวนและเริ่มคิด

จำได้ว่าพี่โก้ให้ข้อมูลบอกไว้ว่าวิ่งไปซัก 4-5โลขาจะดีขึ้น!!
เอาวะ... "ทน" จนกว่าจะดีขึ้นแล้วกัน 

แล้วก้อจริง 
ผ่าน 5โลแรกไปได้ stepวิ่งกลับมาละ 
เย้!!! วิ่งดีขึ้นเหมือนจะแอบเร่งได้นะเนี่ย แอบยิ้มดีใจ... ใจก้องั้นน่าจะได้ล่ะน่า
แต่ก้อมีเหตุไม่คาดคิดอีก... หนำวิ่งจนกระทั่ง เข้าโลที่15 
เกิดไรขึ้นกับเราเนี่ยหมดแรงงง!!! 

วิ่งไม่ไหว ไม่รู้แรงไปไหน ทำงัยดีเนี่ย??
แย่แน่จะจบมั้ยเนี่ย!!!
ขาก้อปวดสุดๆ ตัดสินใจ
เดินเป็นครั้งแรกตั้งแต่วิ่งมาราธอนมา 
ฝรั่งที่วิ่งมาข้างๆ รีบหยุดตามทันที แล้วมาบอกเราว่าเราค่อยๆ เดินๆ วิ่งๆไป เดี๋ยวก้อจบ 

หนำหันไปมองพร้อมรอยยิ้ม
คิดในใจ ขอบคุณนะคะ!!! แต่ไอ อยาก วิ่งนะ ยูไม่รู้รึ แต่เนี่ยไอหมดแรง!!!
ขามันหยุดเอง...

สมองเริ่มคิดว่า ควรทำงัยดี??
หันไปที่ Aid station คว้าได้คุกกี้มากิน 2อัน+ส้มอีกชิ้น มหัศจรรย์ของการกิน!!! 
แรงกลับมาเลย อ๋อ!!มันต้องกินรึเนี่ย เพิ่งรู้นะเนี่ย!!! ความรู้ใหม่

...หลังจากนั้นวิ่งได้ละ เชิญยูเดินไปก่อนนะ ไอ ไปละ bye bye

หลังจากนั้นหนำเริ่ม วิ่งได้ต่อเนื่องละ รู้สึกหมดแรงก้อกิน... รู้วืธีเอาชีวิตรอดละ
ระยะทางเริ่มนับถอยหลังไปเรื่อยๆละ ผ่านรอบแรกเข้าสู่รอบสอง ไชโย!!!เหลือรอบเดียว 21โล สำหรับเรา ไม่ยากเลย 
ในรอบสองนี่พอเร่งได้เป็นระยะๆ เพราะเริ่มกินเป็นละ
ในที่สุด ช่วงเวลาในฝันก้อมาถึง เราพาตัวเองวิ่งอย่างเร็วสุด เข้าเส้น 
(ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าต้องโพสต์ท่าเข้าเส้น) 
จบ 42โลสุดท้ายใช้เวลาวิ่ง 4:45hr ดีใจมากๆๆๆ ในที่สุดเราก้อตามความฝันสำเร็จกับครั้งหนึ่งในชีวิต กับ ความทรมานอย่างที่สุด ต่อสู้กับร่างกายที่แสนจะปวดร้าวกับใจที่พร้อมจะเลิกตลอดเวลา
รวมแข่ง Ironman แรกใช้เวลา 14:35hrs ไชโย ดีใจมากๆจบภารกิจอันแสนทรมาน
ครั้งหนึ่งในชีวิต เราก้อทำได้ ทรมานมากๆๆๆๆ ไม่เอาอีกละ ขอพักก่อน คงมีแค่ครั้งเดียว!!
..คงไม่เอาอีกแล้ววว

แต่พอตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้น หลังแข่ง...
ลืมๆช่วงเวลาโหดร้ายไปได้ 
สมองเริ่มทำงาน
เริ่มเป็นเวลาสนุกใหม่ ขาชั้น!!! ปวดไปหมด ไม่เคยปวดขนาดนี้มาก่อน นับแต่วิ่งมาราธอนครั้งแรก มันก้อยังไม่เคยปวดขนาดนี้!!! ที่เราแข่งไปมันก้อสนุกดีนะเนี่ย ไม่น่าเชื่อว่าเราก้อทำได้...อยากลองอีกๆ
หันไปหาพี่ๆ
นับแต่นั้น....จนถึงเดี๋ยวนี้...
หลังแข่งเสร็จมันจะตามด้วยคำถามว่า.
.. พี่ๆ สนามต่อไปเราไปไหนกันดีเนี่ย?

Life crosses the Limit!

Life crosses the Limit!!!

นานๆมาพูดถึงเรื่องราวของความแข็งแรงและทนทานกันดูบ้างนะคะ ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึก ของการแข่ง Ultra และ Extreme ทุกประเภท เราต้องเจอ ต้องพบ ต้องแก้ปัญหา ต้องฝืนขีดจำกัดของร่างกายกันอย่างไรบ้าง

Cross the Limit!! การจะไปถึงจุดหมาย ก้าวผ่านขีดจำกัดของร่างกาย จิตใจต้องสำคัญกว่าร่างกาย!! ถึงจะมีพลังพอที่จะผ่านไปได้

เอางานแรกก่อนเลยดีกว่า วิ่ง 100km 
นึกถึงเลข 100โล แล้ว มึนๆงงๆค่ะ ไม่มีความรู้ ไม่เคยทำ ไม่รู้จะทำได้มั้ย และยิ่งไม่รู้เลยว่าจะจบมั้ย?😅
พื้นฐาน ของตัวเอง 
เคยวิ่ง 42โล ค่อนข้างมั่นใจว่ายังงัยก้อจบได้ 
50โล ปีที่แล้วก้อวิ่งมาแล้ว กล้ำๆ แต่ก้อผ่านมาได้ 
แต่นี่ สองเท่าของ50เลยนะ ขาจะเป็นยังงัยนะ? สภาพจะขนาดไหนเนี่ย นึกภาพไม่ออกเลย😱

จะสำเร็จหรือไม่ก้าวแรกเริ่มจากการที่เราต้องตั้งใจ และมี commitment กับมันให้ได้ก่อนว่า โอเคนะ ชั้นตั้งใจละ ชั้นจะลองวิ่ง 100โล ดูสักครั้งในชีวิต ไม่รู้ว่าจะสภาพไหนล่ะ แต่ต้องขอลองงงง!! 
 หลังจากนั้น เพื่อจะทำให้ได้ เราต้องมีการวางแผนการซ้อม ว่าแต่ซ้อม 100โลนี่ ต้องซ้อมยังงัยเนี่ย!!! 
ในกรณีของหนำอาจจะไม่เหมือนนักวิ่งคนอื่นๆที่แข่งวิ่งกัน การซ้อมเลยอาจจะไม่เหมืิอนคนอื่นๆเท่าไหร่นัก พื้นฐานของหนำมาจากนักไตรกีฬา เพราะฉะนั้น หนำจะทุ่มให้กับการวิ่งอย่างเดียวไม่ได้ แต่เน้นเพิ่มได้... หลังจากลงสมัครแข่ง ตัดสินใจเมื่อประมาณเดือนตุลาของปี 2013 เพื่อแข่ง the northface 100k ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปัญหาคือ หนำยังซ้อมอย่างเดียวเลยไม่ได้ ต้องรอให้ผ่านการแข่งภูเก็ตไตรกีฬา (LPT และ Challenge) ซึ่งเป็นงานไตรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่ร่วมไม่ได้
ดังนั้นการซ้อมตั้งแต่เดือน ตุลา ถึงต้นเดือนธันวา ส่วนใหญ่ จึงมุ่งเน้นไปที่เพื่อการแข่งไตรกีฬาเท่านั้น!! 
อีกใจก้ออยากซ้อมวิ่ง อยากวิ่ง ไม่งั้น 100โล จะไหวมั้ยเนี่ย!!  แต่แค่ตารางการซ้อมไตรในทุกๆวัน ก้อแน่นและหนักมากจนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว!!

 โค้ช สั่งว่า ให้ซ้อมเน้นวิ่งหลังจาก แข่งChallengeเสร็จ อย่าเพิ่งวิ่งเยอะ เดี๋ยวจะแข่ง ไตร ไม่ได้ดี.. เราก้อ Ok ทำตาม!!  ผลของการซ้อมเพื่อไตร หนำทำได้ดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้มากมาย!! คุ้มค่าความเหนื่ิอยมาก แต่2อาทิตย์ที่ต้องแข่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขามีอาการบาดเจ็บที่น่อง... แล้วเราจะซ้อมวิ่งอย่างไรเนี่ย!!
สิ่งที่โค้ชบอกหนำก้อคือ ให้หนำซ้อมตามตารางไตร ทุกอย่างทุกวัน แต่ให้เพิ่มวิ่ง ยาวๆ ในวันจันทร์และวันศุกร์ 
ทุกวันจันทร์ ให้ วิ่งยาวๆไม่สนความเร็วเลย วิ่งช้าๆเพื่อให้วิ่งได้ยาวๆ เริ่มต้น 2ชม.ใน สัปดาห์แรกและค่อยๆปรับเพิ่มครึ่งชั่วโมง ในทุกสัปดาห์ จากตารางซ้อม หนำมีเวลา 6อาทิตย์ ก่อนแข่ง หมายความว่า อาทิตย์สุดท้าย ต้องจบด้วยการวิ่ง5ชม.  แย่แน่!! จะซ้อมวิ่งยังงัยคนเดียว5ชม. เกิดมาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน ว่าจะต้องซ้อมขนาดนี้ แต่เอาวะ!! สู้
ทุกวันศุกร์ ให้วิ่ง ประมาณ 20-25โล ไม่บังคับความเร็ว!!
ด้วยภาระที่เพิ่มขึ้น จากการซ้อมไตรแค่อย่างเดียวทุกวันร่างกายก้อแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่นี่หนำยังตัองบังคับตัวเองให้ทำมากขึ้นทำสิ่งที่เกินขอบขีดจำกัดของร่างกาย ผลก้อคือ ช่วงนั้น performance ทุกอย่างdrop หมดอย่างเห็นได้ชัด จักรยานในวันอังคารที่เป็น easy ride ก้อขี่แทบไม่ไหว เพราะขาล้ามากจากการวิ่ง ยาวในช่วงเย็นวันจันทร์ 
ส่วน ช่วงspeed training. ไม่ว่าจะเป็นจักรยานหรือวิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กล้ามเนื้อขาแสนจะล้า ไม่สามารถที่จะเพิ่มความเร็วได้เลย!
มันคืออาการของ over training ที่ร่างกายมันฟ้องว่าเราใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดแล้วนะ... แต่เป้าหมายข้างหน้าของหนำ มันมีพลังมากกว่าที่จะมาใส่ใจความเมื่อยล้าที่เป็นอยู่ No pain No gain... ถ้าไม่ทนเมื่อยตอนนี้ แข่งจริง 100โล ขาเราคงต้องเมื่อยกว่านึ้อีกหลายเท่า ทนเท่านั้น!!! 
หนำฝึกแบบนั้น ได้ทั้งหมด 3อาทิตย์ต่อเนื่อง ผลคือ ทุกวันจันทร์ ทำได้ดีที่สุดแค่ 2ชั่วโมงครึ่ง ไม่สามารถขึ้นไปถึง3ชม. ได้ ระยะมากที่สุดที่ซ้อมได้คือ 24โล!!
สองอาทิตย์หลังจากนั้น หนำต้องเข้าร่วมทริปปั่นจักรยาน กรุงเทพ-ภูเก็ต 9วัน... ก่อนหน้าที่จะปั่น1วันมีโอกาสได้ไปวิ่ง 50โล เพื่อทดสอบความพร้อม!! ผลคือ หลังจากวิ่ง 50โลแล้ว ยังรู้สึก โอเคอยู่ แรงยังเหลือ!! เอาวะ 100โล คงมีลุ้น 60-70โล น่าจะพอเอาอยู่ แล้วอีก 30โล หลังจากนั้น ค่อยว่ากัน!!
แล้ว 9วัน ของการปั่นจักรยานอย่างเดียว ก้อผ่าน แทบจะไม่มีโอกาสได้ซ้อมวื่งเลย สภาพขาหลังจากวิ่ง 50โล ก้อไม่เอื้อให้กับการซ้อมวิ่งมากนัก
อาทิตย์สุดท้ายก่อนแข่ง ได้ไปลองงานปั่นจักรยาน ผลการแข่งก้อออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ คือได้ที่1 แล้วผลวิ่งล่ะ???😰

อาทิตย์ของการวิ่งมาถึง!!  ทั้งอาทิตย์งานค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ซ้อมวิ่งอีกเลย!! นัดกันกับเพื่อนๆที่จะลง100ด้วยกัน 3คน
ปรากฏว่า ทุกคนถอนตัวหมด เอางัยดีเนี่ยเรา!! เหลือเราคนเดียว ต้องวิ่ง!! กำลังใจหายไปนิดหน่อย แต่ไม่มากพอที่จะหยุดหนำจากการแข่งนี้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนำต้องแข่งให้ได้ และ พยายามจะต้องจบให้ได้เช่นกัน 

เดินทางอย่างเหงาๆ ขับรถไปคนเดียว แต่ดีที่ไปเจอเพื่อนๆนักวิ่งที่นั่น นักข่าวสัมภาษณ์เล็กน้อย ก่อนแข่ง หนำก้อได้แต่บอกว่าไม่คาดหวังเลยว่าจะได้ที่เท่าไหร่? ในหัวมีแต่คำว่า ต้องแข่งให้จบให้ได้!! เท่านั้น!
โดยระยะและด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการแข่งมาทั้งหมด
 70โลแรกคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนำ ทำได้แน่ๆ พยายามจะวิ่ง จะไม่เดินจะเดินให้น้อยที่สุด คิดในใจแค่นั้น 30โลสุดท้าย เป็นตัวตัดสิน วางแผนการกินให้ดี วางแผนชุดและอุปกรณ์ส่องสว่างให้ครบ เพราะอาจจะต้องอยู่ถึงมืดอีกรอบ
วางแผน 🏁🎯
1) วิ่งตลอด 70โล พยายามวิ่ง อย่าใส่แรงมากเกินค่อยๆไปตามstep หลังจากนั้นยังนึกภาพไม่ออก
2)รองเท้าวิ่ง ตัดสินใจไม่เปลี่ยน ใช้คู่เดียวตลอดไม่เปลี่ยน เพราะคิดว่าคงจะชินเท้าแล้ววิ่งมาตั้ง50โล การเปลี่ยนม้าศึกกลางทาง อาจไม่เป็นผลดี
3) วางแผน อุปกรณ์ ส่องสว่างมากขึ้น หลังจากผ่านรอบแรก เพิ่มไฟฉาย และ ถ่านอีกหน่อย เผื่อต้องอยู่คนเดียวกลางป่า
4) spray ฉีด เผื่อเป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้อปวดมาก ต้องเตรียมให้ครบ
5) วางแผนเรื่องน้ำและของกิน แข่งสิบกว่าชั่วโมงแบบนี้ อาหารละน้ำสำคัญมากๆ ต้องเติมน้ำให้พร้อม อาหาร ควรมีทั้ง คาวหวาน ผลไม้ เพราะการกินของกินซ้ำๆ ตลอด ร่างกายจะมีจุดที่ไม่รับ อาจจะอ้วกและหมดแรงได้
6) แข่งต่อเนื่อง ยิ่งนานยิ่งไม่เป็นผลดี การวิ่งไกลๆแบบนี้ ระยะไม่ธรรมดาแบบนี้ ต่อให้เดินก้อปวด วิ่งก้อปวด สรุปว่าวิ่งดีกว่า จะได้จบเร็ว การแข่งจบเท่านั้น ถึงจะช่วยให้เราหายทรมาน!!

คืนนั้นทั้งคืนพักผ่อนได้ไม่เต็มที่นัก นอนได้ไม่ถึง 5ชม. แต่สุดท้ายก้อต้องลุย มาถึงขั้นนี้แล้ว การนอนคงไม่ใช่อุปสรรค ขับรถไปตอนเช้าเนื่องจากที่พักค่อนข้างไกล ขับไปไม่ชินทาง เลยทำให้ไปถึงพอดีเวลาปล่อยตัว แต่มันหมายถึงสาย! เพราะที่จอดรถหาไม่มี ไปคนเดียวช่างลำบาก เลยต้องขอความช่วยเหลืิอจากน้องนักแข่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ฝากเอารถไปจอดให้ ฝากกุญแจและสมบัติทุกสิ่งไว้ หนำคว้าเป้น้ำและรองเท้าพาตัวเองไปที่จุดเริ่มต้น สายไป7นาที!!
หนำพยายามวิ่งเร็วนิดหน่อยในช่วงแรกเพราะ จำเป็นต้องตามให้เห็นหางแถวของนักวิ่ง ไล่อยู่สักพักก้อเริ่มเจอคน ค่อยอุ่นใจหน่อย! หลังจากนั้นเริ่มเข้าโปรแกรมที่วางแผนไว้ วิ่งไปเรื่อยๆ แต่เส้นทางของปีนี้ช่างโหดนัก total climb ที่มากขึ้นเป็น 2,900m ช่างไม่ธรรมดา มาเจอหน้างานแบบนี้ ต้องวางแผนกันใหม่อีกนิดหน่อย สำหรับทางที่ขึ้นไม่ชันมาก ให้วิ่งขึ้น ถ้าชันมากให้เดินเพื่อเก็บหน้าขาไว้ใช้วิ่งในช่วงท้ายๆ สำคัญคืิอโลที่ 70เป็นต้นไป!! ช่วงนี้ต้องอดทนที่จะไม่วิ่งขึ้น เพราะปกติหนำเป็นคนชอบวิ่งขึ้นเขามากๆ พยายามมองไกล ไปตามแผน อย่าไปตามใจ!!
ในช่วง 50โล แรก หนำวิ่งเกาะไปกับผญ ฮ่องกง คนนึงตัวเล็กเบา วิ่งดี ผลัดกันนำกับหนำอยู่ ไล่กันไปมา จนถึงช่วง 40โล หญิงนักวิ่งจากฮ่องกงก้อไม่ได้ขึ้นมาแซงอีกเลย!!
ผ่าน 50โล 1รอบแรก กลับมาที่จุดเริ่ม ไปตามแผน เตรียมอุปกรณ์ยังชีพสำหรับตอนกลางคืน เตรียมอาหารเพิ่ม 
ภาพที่เห็น เห็นเพื่อนนักวื่งที่เข้ามาก่อน นั่งกันอยู่นาน เหมือนไม่อยากออกแล้ว ช่วงนั้น11โมงกว่าเกือบเที่ยง อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำงัยดี!! เอาน่าหนำ อย่าไปมองโฟกัสกับตัวเอง ดังนั้น พัก กิน เติมน้ำ เตรียมอุปกรณ์ ยืดกล้ามเนื้อ ทั้งหมดภายในเวลาไม่เกิน 15นาที หนำก้อพาตัวเองออกจากจุดพัก

ในหัวมีแต่คำว่า อีก รอบเดียว!!

ออกมาอีกรอบ อาการยังดีอยู่ ยังวิ่งมาได้ต่อเนื่อง จนเข้าโลที่ 66 ร่างกายเริ่มฟ้องว่าอากาศร้อนมาก เริ่มหิวน้ำถี่ขึ้น วิ่ง ถึงโลที่ 72 เมื่อไหร่จะเป็นช่วงยากที่สุด ต้องไต่ไปตามแนวเขา อันตราย โดยเฉพาะเวลาที่ขาล้าขนาดหนักแบบนี้ เตือนตัวเองตลอดให้มีสมาธิและโฟกัสไว้.. ระหว่างทาง ที่ต้องวิ่งผ่านช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสอง เป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายมากที่สุด น้ำเย็นที่พกใส่เป้น้ำ มีไว้ใช้ราดหน้าราดตัวเพื่อดับร้อน ทุกๆ500เมตร ต้องราดน้ำตลอด ร่างกายฟ้องมาเป็นอย่างแรกถึงความทรมานที่1 จากอากาศที่ร้อนระอุ น้ำในเป้หมดก่อนถึงจุดเติมน้ำ หนำต้องพยายาม ประคับประคองตัวเอง ไปให้ถึงจุด ความร้อนและภาวะขาดน้ำ เป็นอีกอุปสรรคที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้!!
ในที่สุดหนำก้อประคองตัวเองมาถึงจุดให้น้ำ ทั้งเติมทั้งดื่มทั้งราด เพื่ิอดับร้อน แล้วก้อพาตัวเองออกต่อ สูตรเดิม ราดน้ำตลอดแต่ในอัตราที่น้อยลง เพราะกลัวน้ำหมดอีก จากจุดให้น้ำจุดที่ โลที่ 73นี้ เจ้าหน้าที่เริ่มลุ้น บอกหนำอย่างยินดีว่า น้องคนที่3 ข้างหน้ามีฝรั่งคน ยี่ปุ่นคน... เอาละสิ แต่ในใจก้อ คงไม่ไล่ดีกว่า ระยะแบบนี้การแข่งให้จบคือเป่าหมายสำคัญ
วิ่งจากจุดนั้นไปอีกประมาณ 3โล เจอนักแข่งฝรั่งที่อยู่คนแรก แต่เอ? สงสัยเค้าโดนยี่ปุ่นแซงแล้วมั้ง วิ่งจนไล่เข้ามาเทียบข้างกัน พูดคุยทักทายกัน เค้าถามหนำว่า ทำไมอยู่ยังดูสดชื่นอยู่เลย ยังวิ่งไหวเหรอ!! ใจหนำก้อไม่ค่อยไหวหรอกว่ะ แต่อดทน! หนำตอบเค้าไปว่า ไหว ไอยังวิ่งได้อีก!! เค้าตกใจเล็กน้อยแล้วบอกว่า ยูแข็งแรงและอะเมสซิ่งมาก ยูต้องชนะให้ได้นะ
หนำยิ้มๆ แล้วหันไปบอกว่า ยูก้อพยายามนะ สู้ๆ แล้วยี่ปุ่นอีกคนไปไหน?

อย่าสนใจเลย ถ้าแซงก้อดี จังหวะตัวเองสำคัญที่สุด ในภาวะร่างกายแบบนี้ โดยระยะขนาดนี้แล้วด้วย ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที 
วิ่งได้ถึงประมาณโลที่ 75 เริ่มรู้สึกเบลอ! เริ่มรู้สึกเหมือนสมองไม่สั่งงาน ทำยังงัยดีเนี่ย พยามหาทางแก้ปัญหา ในที่สุดก้อหยิบโทรศัพท์ที่เค้าบังคับให้มีทุกคน หยิบมาโทรหาน้อง เฮ่ย! พี่เบลอแล้วว่ะ เริ่มตึงๆ เสียงจากด้านโน้นสั่งงานทันที พี่กิน กินเยอะๆ กินอะไรก้อได้ กินเข้าไป เดี๋ยวก้อดีขึ้น หนำเลยหยิบได้ ขนมเวเฟอร์ชอคโกแลตมาหนึ่งอัน เริ่มดีขึ้นเพราะหนำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ภาวะที่เราได้พูดคุยมันช่วยให้เรากลับมามีโฟกัสได้ใหม่ บวกกับขนมหวานที่ทานเข้าไป โอเค เราผ่านไปได้อีกหนึ่งด่าน!!
วิ่งเพลิน ไปอีกสักพัก ก้อให้ได้ตกใจอีกครั้ง ครั้งนี้คือผลจากการที่สายตาและสมองเริ่มล้า ไม่คิดไม่ดูเส้นทาง ทำให้หนำวิ่งหลงทางไปร่วม2โล ย้อนกลับมาอีกครั้ง จิตใจเริ่มท้อ! เพราะร่างกายเริ่มบอกว่าไม่ไหวแล้วเป็นสัญญานเตือนสุดท้ายว่ามันถึงขีดจำกัดแล้วนะ กลับเข้าเส้นทางอีกครั้ง แทบล้มทั้งที่วิ่งอยู่เพราะเหลือบไปเห็น ผญ.ฝร่ังกลับมาอยู้ข้างหน้าเราอีกครั้ง ด้วยระยะ 80โลแล้ว ร่างกายก้อถึงขีดจำกัดแล้ว คงยากที่จะแซงได้ใหม่ เรื่มท้อ ยิ่งวิ่งยิ่งไล่ ยื่งห่าง หนำก้อยิ่งหมดแรง 

ปล่อย!!! วินาทีนี้แล้วยอมเถอะ

หนำเลิกไล่กลับมาอยู่ในจังหวะของตัวเองใหม่ สิ่งที่พบคือ ผญ ฝรั่งคนนั้นเหมือนวิ่งช้าลง
หนำเข้าใกล้เค้ามากขึ้นเรื่อย จนกระทั่งแซงได้ใหม่ ที่ระยะ 88โล
ระยะตั้งแต่ 80โลขึ้นไปเป็นระยะที่ทรมานมาก เพราะร่างกาย ขาและสมองถูกดึงมาใช้จนเกลี้ยง เกินขีดจำกัดที่คนหนึ่งคนจะรับได้ ช่วงเวลาตรงนี้
พลังใจเท่านั้นที่จะพาเราก้าวข้ามทุกอุปสรรคได้
หนำพยายามบอกตัวเองตลอดว่าโอเค. ถึงเวลานับถอยหลังแล้ว
หลังจากแซงผญ ฝร่ังคนนั้นได้ ระยะทางเหลือแค่ 12โล พลังงานก๊อกสุดท้าย ถูกดึงออกมา นับถอยหลังเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วง 5โล...4..3. เข้าสู่ 3โลสุดท้าย มีรถมอเตอร์ไซด์เจ้าหน้าที่มาขับตามหลังเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ เจ้าหน้าที่บอกกับหนำว่า น้องวิ่งชิดซ้ายหน่อย แต่ด้วยร่างกายที่เกินขีดจำกัดไปแล้ว ขาไม่ยอมฟังคำสั่ง สมองก้อไม่ยอมสั่งงาน. หนำพูดตอบไปได้แค่ว่า พี่คะ ตอนนี้อย่าเพิ่งให้ขยับออกจากตรงนี้เลย ให้รถเค้าหลบเอาละกัน ตอนนี้สิ่งสุดท้ายที่สมองสั่งให้ขาไปต่อได้คือการไปที่โคมไฟและเสียงประกาศ ที่เห็นอยู่ด้านหน้าและได้ยินใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ภารกิจ ก้อเสร็จสมบูรณ์ เย้!!! หนำทำได้ เราทำได้แล้ว
เสียงพิธีกรประกาศซ้ำ ว่า first place woman overall คุณน้ำเพชร Congratulation.. ไม่น่าเชื่อว่านอกจากหนำจะทำสำเร็จแล้ว หนำยังได้ชัยชนะจากการแข่งครั้งนี้อีกด้วย ผู้หญิงไทยคนแรกและคนเดียวที่ชนะในการแข่งขันวิ่ง 100โล ก้าวผ่านทุกอุปสรรค ทุกข้อจำกัด จนได้รับชัยชนะที่แสนจะภูมิใจนี้่
ที่สุดของความมุ่งมั่น ที่สุดของความทุ่มเท ที่สุดของความพยายาม รางวัลคือเครื่องมืือพิสูจน์ให้เห็นถึงชัยชนะ แต่ความปลาบปลื้ม ความรู้สึกที่ได้ก้าวผ่านและเอาชนะทุกอุปสรรคตลอดระยะเวลาร่วม 13ชม และ 102โล ของหนำ มันสมบูรณ์แบบและน่าจดจำไปอีกนานแสนนาน 😘😎

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Road To Kona... My 1st Ironman... (2/3)


 ยินดีด้วยกับใครที่เชียร์German แต่ Argentina ก้อสู้เต็มที่นะคะ ไม่ผิดหวังจริงๆ!!! 


Road To Kona... My 1st Ironman... (2/3)
เส้นทางสู่ Ironman Kona, Hawaii.. 
กับประสบการณ์การแข่งIronman ครั้งแรก!! 🎊

"ผลของการไม่ซ้อม " ขี่จนอยากร้องไห้ 
ไม่เอาอีกแล้ว ทำไม ไม่ยอมซ้อมวะ อยากเลิก อยากเลิกไม่อยากปั่นแล้ว ใครก้อได้ช่วยมาเอาจักรยานชั้นไปขี่ที" 🚴


ถึงวันแข่งมีพี่ๆ คนไทยรุ่นนั้นอยู่อีก 7คน พี่ไก่ พี่มั่น พี่โก้ พี่วีระ พี่ต้อม พี่สุวิทย์ พี่ไอโบ้ รวมเราเป็น 8คน มีแต่ฝรั่งตัวใหญ่ๆที่ดูแข็งแรงมากๆอยู่เต็มไปหมด แล้วกระเหรี่ยงหน้าจีนอย่างเราจะไหวมั้ยเนี่ย!! 

ไม่รู้ว่าจะเจออารัยบ้างในไม่กี่อึดใจข้างหน้า ใจก้อคงได้แหละน่า เอาน่า!! เราไปแบบเรานี่แหละขอแค่จบ ไม่ต้องเร็วก้อได้!! 

เสียงปืนดังเป็นสัญญาณปล่อยตัว เราก้อลงว่ายไม่รู้เรื่อง wet suitเลย เค้าบอกให้ใส่ก้อใส่ วิธีใส่ก้อถามๆเค้ามา เอาวะ!! เค้าใส่กันเราใส่เถอะ 

ตอนออกตัว มันน่ากลัวมากคนเต็มไปหมดเลย แล้วชั้นจะไปแทรกลงตรงไหนดีเนี่ย นี่ขนาดเค้าให้ปล่อยตัวตามเวลาที่เราคาดว่าจะว่ายจบ แต่ก้อยังคนเยอะอยู่ดี เอาวะว่ายก้อว่าย ออกตัวไปพร้อมฝูงคน ทั้งมือทั้งเท้า เต็มไปหมด เจ็บนะโว้ย ร้องบอกในใจ 
แต่ก้อแค่พักเดียวมือเท้าหายหมด เหมือนเราว่ายในสระแล้ว ค่อยสงบหน่อย "เอาละหนำ" ว่ายได้ เราก้อว่ายไปเรื่อยๆรู้ตัวอีกที มีเรือแคนูมาอยู่ข้างๆด้วย ว้าววว โชคดีจังเลยเรา

ไม่ต้องเล็งทุ่นละ ชั้นว่ายตามเรือไปนี่แหละ ว่ายวนผ่านรอบแรก เอ๊ะ!!! เหมือนมีฝูงอะไรมาว่ายผ่านเราไป แต่ก้อยังไม่สนใจว่ายตามเรือต่อไป (มองฝูงคนที่ว่ายมาน็อครอบไม่เห็น เพราะหันขวาได้ข้างเดียว)...ว่ายประมาณว่ามีแต่ชั้นกับคนพายแคนูที่คอยลุ้นอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ อย่างน้อยก้อทำให้เราอุ่นใจวะ ว่าชั้นไม่หลงแน่ๆ ครบ2รอบละ. !!! เอ่อ!!! ขึ้นมาถึงรู้ว่าสาเหตุของความโชคดีคืออะไร 😅
เหลือคนว่ายอยู่ในครอสอีกนิดเดียว ทุกคนที่เหลือ มีเรือเป็นเพื่อนทุกคน!!! ทั้งๆที่เวลาว่ายน้ำเรา 1.33hr เราก้อว่าเราว่ายไม่ช้าน้าาา
เอาวะไม่สนใจไปขี่จักรยานดีกว่า 😎

เริ่มต้นขี่จักรยานโอ้โห สนุกมาก เร็วเหมือนกันนะเรา สนุกจัง บอกแล้วว่าไม่ต้องซ้อม!!! ปั่นได้ไม่นาน...ความสนุกหยุดอยู่แค่ 40โลแรก หลังจากนั้น ทำมัยมันเมื่อยขนาดนี้เนี่ย แรงเหมือนจะหมด ขาเราไม่มีแรงเล้ยยย (ไม่รู้ว่าหลังว่ายน้ำแล้วมันมีผลกับการปั่น) แล้วชั้นจะปั่นยังงัยดีล่ะเนี่ย!!! เอาน่า เราก้อแข็งแรงพอน่าค่อยๆไป เตือนตัวเองอย่างนั้น...
ตาเริ่มสอดส่อง


สังเกตุคนแข่งคนอื่น เค้าทำอะไรกันบ้าง อ้อ!!! มีรับของกินด้วย ลองดูบ้างดีกว่าถึง aid station ลองทานอย่างอื่นนอกจากน้ำบ้าง อาการเหมือนจะดีขึ้น เริ่มมีแรงปั่น แต่ก้อยังไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะของที่เรากิน ความทรมานอย่างที่สุดมาเมื่อตอน 140โล แรงเริ่มไม่มีละขาก้อไม่อยากขี่ ลงจากจักรยานก้อไม่ได้ หลังก้อโคตรปวด คอก้อเมื่อยสุดๆ (สมัยนั้นเพ่ิงลองใช้รองเท้าจักรยาน ยังถอด-ใส่ ไม่คล่อง เลยไม่กล้าถอดกลัวล้ม) ทำงัยดีวะเนี่ย เหลืออีกตั้ง เกือบ40โล... ทรมานสุดๆ 
จำได้แม่นเลยว่าขี่ความเร็วอยู่ที่ 17-18km/hr ขี่จนอยากร้องไห้ 
ไม่เอาอีกแล้ว ทำไม ไม่ยอมซ้อมวะ อยากเลิก อยากเลิกไม่อยากปั่นแล้ว ใครก้อได้ช่วยมาเอาจักรยานชั้นไปขี่ที 

ได้แต่คิดแล้วก้อกัดฟันมาจนถึงจบ 180โล
ถึงจุดคืนจักรยานแทบล้มทั้งยืน หน้าซีด หมดแรง อยากเลิกแล้ว ค่อยๆประคองตัวไปที่transition อีกครั้ง รวมเวลาปั่น 7:45hr. 

นั่งพักใน transition ไม่รู้นานแค่ไหน รู้แต่ขออยู่เฉยๆก่อน ใครก้ออย่ามายุ่งกับชั้น 
แม้แต่ตอนนี้อย่าให้ชั้นต้องนึกภาษาอังกฤษเลย สมองชั้นไม่ทำงานแล้ว 


แต่ในใจก้อเอาวะ วิ่งของถนัด 📌ออกไปวิ่งดีกว่า เหลือเราคนสุดท้ายละ พี่ๆเค้าไปกันหมดละ ต้องพยายาม!!