นานๆมาพูดถึงเรื่องราวของความแข็งแรงและทนทานกันดูบ้างนะคะ ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึก ของการแข่ง Ultra และ Extreme ทุกประเภท เราต้องเจอ ต้องพบ ต้องแก้ปัญหา ต้องฝืนขีดจำกัดของร่างกายกันอย่างไรบ้าง
Cross the Limit!! การจะไปถึงจุดหมาย ก้าวผ่านขีดจำกัดของร่างกาย จิตใจต้องสำคัญกว่าร่างกาย!! ถึงจะมีพลังพอที่จะผ่านไปได้
เอางานแรกก่อนเลยดีกว่า วิ่ง 100km
นึกถึงเลข 100โล แล้ว มึนๆงงๆค่ะ ไม่มีความรู้ ไม่เคยทำ ไม่รู้จะทำได้มั้ย และยิ่งไม่รู้เลยว่าจะจบมั้ย?😅
พื้นฐาน ของตัวเอง
เคยวิ่ง 42โล ค่อนข้างมั่นใจว่ายังงัยก้อจบได้
50โล ปีที่แล้วก้อวิ่งมาแล้ว กล้ำๆ แต่ก้อผ่านมาได้
แต่นี่ สองเท่าของ50เลยนะ ขาจะเป็นยังงัยนะ? สภาพจะขนาดไหนเนี่ย นึกภาพไม่ออกเลย😱
จะสำเร็จหรือไม่ก้าวแรกเริ่มจากการที่เราต้องตั้งใจ และมี commitment กับมันให้ได้ก่อนว่า โอเคนะ ชั้นตั้งใจละ ชั้นจะลองวิ่ง 100โล ดูสักครั้งในชีวิต ไม่รู้ว่าจะสภาพไหนล่ะ แต่ต้องขอลองงงง!!
หลังจากนั้น เพื่อจะทำให้ได้ เราต้องมีการวางแผนการซ้อม ว่าแต่ซ้อม 100โลนี่ ต้องซ้อมยังงัยเนี่ย!!!
ในกรณีของหนำอาจจะไม่เหมือนนักวิ่งคนอื่นๆที่แข่งวิ่งกัน การซ้อมเลยอาจจะไม่เหมืิอนคนอื่นๆเท่าไหร่นัก พื้นฐานของหนำมาจากนักไตรกีฬา เพราะฉะนั้น หนำจะทุ่มให้กับการวิ่งอย่างเดียวไม่ได้ แต่เน้นเพิ่มได้... หลังจากลงสมัครแข่ง ตัดสินใจเมื่อประมาณเดือนตุลาของปี 2013 เพื่อแข่ง the northface 100k ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปัญหาคือ หนำยังซ้อมอย่างเดียวเลยไม่ได้ ต้องรอให้ผ่านการแข่งภูเก็ตไตรกีฬา (LPT และ Challenge) ซึ่งเป็นงานไตรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่ร่วมไม่ได้
ดังนั้นการซ้อมตั้งแต่เดือน ตุลา ถึงต้นเดือนธันวา ส่วนใหญ่ จึงมุ่งเน้นไปที่เพื่อการแข่งไตรกีฬาเท่านั้น!!
อีกใจก้ออยากซ้อมวิ่ง อยากวิ่ง ไม่งั้น 100โล จะไหวมั้ยเนี่ย!! แต่แค่ตารางการซ้อมไตรในทุกๆวัน ก้อแน่นและหนักมากจนแทบไม่ไหวอยู่แล้ว!!
โค้ช สั่งว่า ให้ซ้อมเน้นวิ่งหลังจาก แข่งChallengeเสร็จ อย่าเพิ่งวิ่งเยอะ เดี๋ยวจะแข่ง ไตร ไม่ได้ดี.. เราก้อ Ok ทำตาม!! ผลของการซ้อมเพื่อไตร หนำทำได้ดีเกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้มากมาย!! คุ้มค่าความเหนื่ิอยมาก แต่2อาทิตย์ที่ต้องแข่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขามีอาการบาดเจ็บที่น่อง... แล้วเราจะซ้อมวิ่งอย่างไรเนี่ย!!
สิ่งที่โค้ชบอกหนำก้อคือ ให้หนำซ้อมตามตารางไตร ทุกอย่างทุกวัน แต่ให้เพิ่มวิ่ง ยาวๆ ในวันจันทร์และวันศุกร์
ทุกวันจันทร์ ให้ วิ่งยาวๆไม่สนความเร็วเลย วิ่งช้าๆเพื่อให้วิ่งได้ยาวๆ เริ่มต้น 2ชม.ใน สัปดาห์แรกและค่อยๆปรับเพิ่มครึ่งชั่วโมง ในทุกสัปดาห์ จากตารางซ้อม หนำมีเวลา 6อาทิตย์ ก่อนแข่ง หมายความว่า อาทิตย์สุดท้าย ต้องจบด้วยการวิ่ง5ชม. แย่แน่!! จะซ้อมวิ่งยังงัยคนเดียว5ชม. เกิดมาไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อน ว่าจะต้องซ้อมขนาดนี้ แต่เอาวะ!! สู้
ทุกวันศุกร์ ให้วิ่ง ประมาณ 20-25โล ไม่บังคับความเร็ว!!
ด้วยภาระที่เพิ่มขึ้น จากการซ้อมไตรแค่อย่างเดียวทุกวันร่างกายก้อแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่นี่หนำยังตัองบังคับตัวเองให้ทำมากขึ้นทำสิ่งที่เกินขอบขีดจำกัดของร่างกาย ผลก้อคือ ช่วงนั้น performance ทุกอย่างdrop หมดอย่างเห็นได้ชัด จักรยานในวันอังคารที่เป็น easy ride ก้อขี่แทบไม่ไหว เพราะขาล้ามากจากการวิ่ง ยาวในช่วงเย็นวันจันทร์
ส่วน ช่วงspeed training. ไม่ว่าจะเป็นจักรยานหรือวิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง กล้ามเนื้อขาแสนจะล้า ไม่สามารถที่จะเพิ่มความเร็วได้เลย!
มันคืออาการของ over training ที่ร่างกายมันฟ้องว่าเราใช้ร่างกายเกินขีดจำกัดแล้วนะ... แต่เป้าหมายข้างหน้าของหนำ มันมีพลังมากกว่าที่จะมาใส่ใจความเมื่อยล้าที่เป็นอยู่ No pain No gain... ถ้าไม่ทนเมื่อยตอนนี้ แข่งจริง 100โล ขาเราคงต้องเมื่อยกว่านึ้อีกหลายเท่า ทนเท่านั้น!!!
หนำฝึกแบบนั้น ได้ทั้งหมด 3อาทิตย์ต่อเนื่อง ผลคือ ทุกวันจันทร์ ทำได้ดีที่สุดแค่ 2ชั่วโมงครึ่ง ไม่สามารถขึ้นไปถึง3ชม. ได้ ระยะมากที่สุดที่ซ้อมได้คือ 24โล!!
สองอาทิตย์หลังจากนั้น หนำต้องเข้าร่วมทริปปั่นจักรยาน กรุงเทพ-ภูเก็ต 9วัน... ก่อนหน้าที่จะปั่น1วันมีโอกาสได้ไปวิ่ง 50โล เพื่อทดสอบความพร้อม!! ผลคือ หลังจากวิ่ง 50โลแล้ว ยังรู้สึก โอเคอยู่ แรงยังเหลือ!! เอาวะ 100โล คงมีลุ้น 60-70โล น่าจะพอเอาอยู่ แล้วอีก 30โล หลังจากนั้น ค่อยว่ากัน!!
แล้ว 9วัน ของการปั่นจักรยานอย่างเดียว ก้อผ่าน แทบจะไม่มีโอกาสได้ซ้อมวื่งเลย สภาพขาหลังจากวิ่ง 50โล ก้อไม่เอื้อให้กับการซ้อมวิ่งมากนัก
อาทิตย์สุดท้ายก่อนแข่ง ได้ไปลองงานปั่นจักรยาน ผลการแข่งก้อออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ คือได้ที่1 แล้วผลวิ่งล่ะ???😰
อาทิตย์ของการวิ่งมาถึง!! ทั้งอาทิตย์งานค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่มีโอกาสได้ซ้อมวิ่งอีกเลย!! นัดกันกับเพื่อนๆที่จะลง100ด้วยกัน 3คน
ปรากฏว่า ทุกคนถอนตัวหมด เอางัยดีเนี่ยเรา!! เหลือเราคนเดียว ต้องวิ่ง!! กำลังใจหายไปนิดหน่อย แต่ไม่มากพอที่จะหยุดหนำจากการแข่งนี้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนำต้องแข่งให้ได้ และ พยายามจะต้องจบให้ได้เช่นกัน
เดินทางอย่างเหงาๆ ขับรถไปคนเดียว แต่ดีที่ไปเจอเพื่อนๆนักวิ่งที่นั่น นักข่าวสัมภาษณ์เล็กน้อย ก่อนแข่ง หนำก้อได้แต่บอกว่าไม่คาดหวังเลยว่าจะได้ที่เท่าไหร่? ในหัวมีแต่คำว่า ต้องแข่งให้จบให้ได้!! เท่านั้น!
โดยระยะและด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการแข่งมาทั้งหมด
70โลแรกคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับหนำ ทำได้แน่ๆ พยายามจะวิ่ง จะไม่เดินจะเดินให้น้อยที่สุด คิดในใจแค่นั้น 30โลสุดท้าย เป็นตัวตัดสิน วางแผนการกินให้ดี วางแผนชุดและอุปกรณ์ส่องสว่างให้ครบ เพราะอาจจะต้องอยู่ถึงมืดอีกรอบ
วางแผน 🏁🎯
1) วิ่งตลอด 70โล พยายามวิ่ง อย่าใส่แรงมากเกินค่อยๆไปตามstep หลังจากนั้นยังนึกภาพไม่ออก
2)รองเท้าวิ่ง ตัดสินใจไม่เปลี่ยน ใช้คู่เดียวตลอดไม่เปลี่ยน เพราะคิดว่าคงจะชินเท้าแล้ววิ่งมาตั้ง50โล การเปลี่ยนม้าศึกกลางทาง อาจไม่เป็นผลดี
3) วางแผน อุปกรณ์ ส่องสว่างมากขึ้น หลังจากผ่านรอบแรก เพิ่มไฟฉาย และ ถ่านอีกหน่อย เผื่อต้องอยู่คนเดียวกลางป่า
4) spray ฉีด เผื่อเป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้อปวดมาก ต้องเตรียมให้ครบ
5) วางแผนเรื่องน้ำและของกิน แข่งสิบกว่าชั่วโมงแบบนี้ อาหารละน้ำสำคัญมากๆ ต้องเติมน้ำให้พร้อม อาหาร ควรมีทั้ง คาวหวาน ผลไม้ เพราะการกินของกินซ้ำๆ ตลอด ร่างกายจะมีจุดที่ไม่รับ อาจจะอ้วกและหมดแรงได้
6) แข่งต่อเนื่อง ยิ่งนานยิ่งไม่เป็นผลดี การวิ่งไกลๆแบบนี้ ระยะไม่ธรรมดาแบบนี้ ต่อให้เดินก้อปวด วิ่งก้อปวด สรุปว่าวิ่งดีกว่า จะได้จบเร็ว การแข่งจบเท่านั้น ถึงจะช่วยให้เราหายทรมาน!!
คืนนั้นทั้งคืนพักผ่อนได้ไม่เต็มที่นัก นอนได้ไม่ถึง 5ชม. แต่สุดท้ายก้อต้องลุย มาถึงขั้นนี้แล้ว การนอนคงไม่ใช่อุปสรรค ขับรถไปตอนเช้าเนื่องจากที่พักค่อนข้างไกล ขับไปไม่ชินทาง เลยทำให้ไปถึงพอดีเวลาปล่อยตัว แต่มันหมายถึงสาย! เพราะที่จอดรถหาไม่มี ไปคนเดียวช่างลำบาก เลยต้องขอความช่วยเหลืิอจากน้องนักแข่งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน ฝากเอารถไปจอดให้ ฝากกุญแจและสมบัติทุกสิ่งไว้ หนำคว้าเป้น้ำและรองเท้าพาตัวเองไปที่จุดเริ่มต้น สายไป7นาที!!
หนำพยายามวิ่งเร็วนิดหน่อยในช่วงแรกเพราะ จำเป็นต้องตามให้เห็นหางแถวของนักวิ่ง ไล่อยู่สักพักก้อเริ่มเจอคน ค่อยอุ่นใจหน่อย! หลังจากนั้นเริ่มเข้าโปรแกรมที่วางแผนไว้ วิ่งไปเรื่อยๆ แต่เส้นทางของปีนี้ช่างโหดนัก total climb ที่มากขึ้นเป็น 2,900m ช่างไม่ธรรมดา มาเจอหน้างานแบบนี้ ต้องวางแผนกันใหม่อีกนิดหน่อย สำหรับทางที่ขึ้นไม่ชันมาก ให้วิ่งขึ้น ถ้าชันมากให้เดินเพื่อเก็บหน้าขาไว้ใช้วิ่งในช่วงท้ายๆ สำคัญคืิอโลที่ 70เป็นต้นไป!! ช่วงนี้ต้องอดทนที่จะไม่วิ่งขึ้น เพราะปกติหนำเป็นคนชอบวิ่งขึ้นเขามากๆ พยายามมองไกล ไปตามแผน อย่าไปตามใจ!!
ในช่วง 50โล แรก หนำวิ่งเกาะไปกับผญ ฮ่องกง คนนึงตัวเล็กเบา วิ่งดี ผลัดกันนำกับหนำอยู่ ไล่กันไปมา จนถึงช่วง 40โล หญิงนักวิ่งจากฮ่องกงก้อไม่ได้ขึ้นมาแซงอีกเลย!!
ผ่าน 50โล 1รอบแรก กลับมาที่จุดเริ่ม ไปตามแผน เตรียมอุปกรณ์ยังชีพสำหรับตอนกลางคืน เตรียมอาหารเพิ่ม
ภาพที่เห็น เห็นเพื่อนนักวื่งที่เข้ามาก่อน นั่งกันอยู่นาน เหมือนไม่อยากออกแล้ว ช่วงนั้น11โมงกว่าเกือบเที่ยง อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำงัยดี!! เอาน่าหนำ อย่าไปมองโฟกัสกับตัวเอง ดังนั้น พัก กิน เติมน้ำ เตรียมอุปกรณ์ ยืดกล้ามเนื้อ ทั้งหมดภายในเวลาไม่เกิน 15นาที หนำก้อพาตัวเองออกจากจุดพัก
ในหัวมีแต่คำว่า อีก รอบเดียว!!
ออกมาอีกรอบ อาการยังดีอยู่ ยังวิ่งมาได้ต่อเนื่อง จนเข้าโลที่ 66 ร่างกายเริ่มฟ้องว่าอากาศร้อนมาก เริ่มหิวน้ำถี่ขึ้น วิ่ง ถึงโลที่ 72 เมื่อไหร่จะเป็นช่วงยากที่สุด ต้องไต่ไปตามแนวเขา อันตราย โดยเฉพาะเวลาที่ขาล้าขนาดหนักแบบนี้ เตือนตัวเองตลอดให้มีสมาธิและโฟกัสไว้.. ระหว่างทาง ที่ต้องวิ่งผ่านช่วงเวลาตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสอง เป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายมากที่สุด น้ำเย็นที่พกใส่เป้น้ำ มีไว้ใช้ราดหน้าราดตัวเพื่อดับร้อน ทุกๆ500เมตร ต้องราดน้ำตลอด ร่างกายฟ้องมาเป็นอย่างแรกถึงความทรมานที่1 จากอากาศที่ร้อนระอุ น้ำในเป้หมดก่อนถึงจุดเติมน้ำ หนำต้องพยายาม ประคับประคองตัวเอง ไปให้ถึงจุด ความร้อนและภาวะขาดน้ำ เป็นอีกอุปสรรคที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้!!
ในที่สุดหนำก้อประคองตัวเองมาถึงจุดให้น้ำ ทั้งเติมทั้งดื่มทั้งราด เพื่ิอดับร้อน แล้วก้อพาตัวเองออกต่อ สูตรเดิม ราดน้ำตลอดแต่ในอัตราที่น้อยลง เพราะกลัวน้ำหมดอีก จากจุดให้น้ำจุดที่ โลที่ 73นี้ เจ้าหน้าที่เริ่มลุ้น บอกหนำอย่างยินดีว่า น้องคนที่3 ข้างหน้ามีฝรั่งคน ยี่ปุ่นคน... เอาละสิ แต่ในใจก้อ คงไม่ไล่ดีกว่า ระยะแบบนี้การแข่งให้จบคือเป่าหมายสำคัญ
วิ่งจากจุดนั้นไปอีกประมาณ 3โล เจอนักแข่งฝรั่งที่อยู่คนแรก แต่เอ? สงสัยเค้าโดนยี่ปุ่นแซงแล้วมั้ง วิ่งจนไล่เข้ามาเทียบข้างกัน พูดคุยทักทายกัน เค้าถามหนำว่า ทำไมอยู่ยังดูสดชื่นอยู่เลย ยังวิ่งไหวเหรอ!! ใจหนำก้อไม่ค่อยไหวหรอกว่ะ แต่อดทน! หนำตอบเค้าไปว่า ไหว ไอยังวิ่งได้อีก!! เค้าตกใจเล็กน้อยแล้วบอกว่า ยูแข็งแรงและอะเมสซิ่งมาก ยูต้องชนะให้ได้นะ
หนำยิ้มๆ แล้วหันไปบอกว่า ยูก้อพยายามนะ สู้ๆ แล้วยี่ปุ่นอีกคนไปไหน?
อย่าสนใจเลย ถ้าแซงก้อดี จังหวะตัวเองสำคัญที่สุด ในภาวะร่างกายแบบนี้ โดยระยะขนาดนี้แล้วด้วย ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
วิ่งได้ถึงประมาณโลที่ 75 เริ่มรู้สึกเบลอ! เริ่มรู้สึกเหมือนสมองไม่สั่งงาน ทำยังงัยดีเนี่ย พยามหาทางแก้ปัญหา ในที่สุดก้อหยิบโทรศัพท์ที่เค้าบังคับให้มีทุกคน หยิบมาโทรหาน้อง เฮ่ย! พี่เบลอแล้วว่ะ เริ่มตึงๆ เสียงจากด้านโน้นสั่งงานทันที พี่กิน กินเยอะๆ กินอะไรก้อได้ กินเข้าไป เดี๋ยวก้อดีขึ้น หนำเลยหยิบได้ ขนมเวเฟอร์ชอคโกแลตมาหนึ่งอัน เริ่มดีขึ้นเพราะหนำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ภาวะที่เราได้พูดคุยมันช่วยให้เรากลับมามีโฟกัสได้ใหม่ บวกกับขนมหวานที่ทานเข้าไป โอเค เราผ่านไปได้อีกหนึ่งด่าน!!
วิ่งเพลิน ไปอีกสักพัก ก้อให้ได้ตกใจอีกครั้ง ครั้งนี้คือผลจากการที่สายตาและสมองเริ่มล้า ไม่คิดไม่ดูเส้นทาง ทำให้หนำวิ่งหลงทางไปร่วม2โล ย้อนกลับมาอีกครั้ง จิตใจเริ่มท้อ! เพราะร่างกายเริ่มบอกว่าไม่ไหวแล้วเป็นสัญญานเตือนสุดท้ายว่ามันถึงขีดจำกัดแล้วนะ กลับเข้าเส้นทางอีกครั้ง แทบล้มทั้งที่วิ่งอยู่เพราะเหลือบไปเห็น ผญ.ฝร่ังกลับมาอยู้ข้างหน้าเราอีกครั้ง ด้วยระยะ 80โลแล้ว ร่างกายก้อถึงขีดจำกัดแล้ว คงยากที่จะแซงได้ใหม่ เรื่มท้อ ยิ่งวิ่งยิ่งไล่ ยื่งห่าง หนำก้อยิ่งหมดแรง
ปล่อย!!! วินาทีนี้แล้วยอมเถอะ
หนำเลิกไล่กลับมาอยู่ในจังหวะของตัวเองใหม่ สิ่งที่พบคือ ผญ ฝรั่งคนนั้นเหมือนวิ่งช้าลง
หนำเข้าใกล้เค้ามากขึ้นเรื่อย จนกระทั่งแซงได้ใหม่ ที่ระยะ 88โล
ระยะตั้งแต่ 80โลขึ้นไปเป็นระยะที่ทรมานมาก เพราะร่างกาย ขาและสมองถูกดึงมาใช้จนเกลี้ยง เกินขีดจำกัดที่คนหนึ่งคนจะรับได้ ช่วงเวลาตรงนี้
พลังใจเท่านั้นที่จะพาเราก้าวข้ามทุกอุปสรรคได้
หนำพยายามบอกตัวเองตลอดว่าโอเค. ถึงเวลานับถอยหลังแล้ว
หลังจากแซงผญ ฝร่ังคนนั้นได้ ระยะทางเหลือแค่ 12โล พลังงานก๊อกสุดท้าย ถูกดึงออกมา นับถอยหลังเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วง 5โล...4..3. เข้าสู่ 3โลสุดท้าย มีรถมอเตอร์ไซด์เจ้าหน้าที่มาขับตามหลังเพื่อดูแลความปลอดภัยให้ เจ้าหน้าที่บอกกับหนำว่า น้องวิ่งชิดซ้ายหน่อย แต่ด้วยร่างกายที่เกินขีดจำกัดไปแล้ว ขาไม่ยอมฟังคำสั่ง สมองก้อไม่ยอมสั่งงาน. หนำพูดตอบไปได้แค่ว่า พี่คะ ตอนนี้อย่าเพิ่งให้ขยับออกจากตรงนี้เลย ให้รถเค้าหลบเอาละกัน ตอนนี้สิ่งสุดท้ายที่สมองสั่งให้ขาไปต่อได้คือการไปที่โคมไฟและเสียงประกาศ ที่เห็นอยู่ด้านหน้าและได้ยินใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ภารกิจ ก้อเสร็จสมบูรณ์ เย้!!! หนำทำได้ เราทำได้แล้ว
เสียงพิธีกรประกาศซ้ำ ว่า first place woman overall คุณน้ำเพชร Congratulation.. ไม่น่าเชื่อว่านอกจากหนำจะทำสำเร็จแล้ว หนำยังได้ชัยชนะจากการแข่งครั้งนี้อีกด้วย ผู้หญิงไทยคนแรกและคนเดียวที่ชนะในการแข่งขันวิ่ง 100โล ก้าวผ่านทุกอุปสรรค ทุกข้อจำกัด จนได้รับชัยชนะที่แสนจะภูมิใจนี้่
ที่สุดของความมุ่งมั่น ที่สุดของความทุ่มเท ที่สุดของความพยายาม รางวัลคือเครื่องมืือพิสูจน์ให้เห็นถึงชัยชนะ แต่ความปลาบปลื้ม ความรู้สึกที่ได้ก้าวผ่านและเอาชนะทุกอุปสรรคตลอดระยะเวลาร่วม 13ชม และ 102โล ของหนำ มันสมบูรณ์แบบและน่าจดจำไปอีกนานแสนนาน 😘😎
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น